คลังติดใจชิมช้อปใช้ลุยเฟส2


เพิ่มเพื่อน    

 รัฐบาลติดใจ "ชิมช้อปใช้" ขุนคลังเตรียมประเมินผลก่อนเคาะเฟส 2 เผยหวังเจาะชนชั้นกลางคนทำงาน ส่วน "100 เดียวเที่ยวทั่วไทย" พุ่งเป้า "ผู้สูงอายุ-สตรี-วัยรุ่นจบใหม่" ธนกรย้อนเจ็บไม่ผลาญงบเหมือน "จำนำข้าว-บ้านเอื้ออาทร" ที่ไม่รู้เข้ากระเป๋าใคร คุณช่อให้คะแนน 2 จาก 100 

เมื่อวันพุธที่ 2 ต.ค. นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการชิมช้อปใช้ เฟส 2 ว่าอยู่ระหว่างให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประเมินผลโครงการที่ดำเนินการอยู่ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนนี้เกี่ยวกับแนวทางโครงการเฟสที่ 2 ส่วนรายละเอียดว่าจะให้วงเงินเพิ่มอีก 1 พันบาทแก่ผู้ลงทะเบียนเดิม 10 ล้านคน หรือเปิดให้ลงทะเบียนเพิ่มรอบใหม่ยังไม่ได้ข้อสรุป
    "มาตรการชิมช้อปใช้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ในชุดมาตรการอื่นๆ เช่น การสนับสนุนต้นทุนการผลิตเกษตรมีเงินออกไปสู่เกษตรกรแล้ว 2 หมื่นล้านบาท จากวงเงิน 4 หมื่นล้านบาท และกองทุนช่วยเหลือเอสเอ็มอี 1 หมื่นล้านบาทก็เริ่มมีเงินออกไป เป็นการสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค ซึ่งกระทรวงยังหวังว่าเศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัวได้ 3%" นายอุตตมกล่าว
    นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการ สศค.กล่าวว่า คาดว่าจะมีเม็ดเงินในโครงการชิมช้อปใช้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 6 หมื่นล้านบาท เป็นการอุดหนุนจากรัฐ 1.9 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการใช้จ่ายจากประชาชนในกระเป๋า 2 เพื่อขอรับเงินคืน (แคชแบ็ก) 15% ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิ์ในส่วนนี้ประมาณ 3 ล้านราย วงเงินเฉลี่ยรายละ 13,500 บาท และจะส่งผลกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้ให้ขยายตัวเพิ่มได้ไม่ต่ำกว่า 0.2-0.3% จากเป้าหมาย 3% ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการระยะยาวสิ้นสุด 30 พ.ย.นี้ แม้การใช้จ่ายในช่วง 3 วันแรกที่ 300 ล้านบาทจึงไม่ได้ใช้น้อยเกินไป เพราะเป็นการทยอยใช้
"ชิมช้อปใช้ไม่ได้เอื้อผู้ประกอบการรายใหญ่ จากการใช้จ่ายในช่วง 5 วันแรกที่ 628 ล้านบาท มีการใช้จ่ายผ่านห้างขนาดใหญ่แค่ 142 ล้านบาทหรือ 22% เท่านั้น ขณะที่ยอดลงทะเบียนชิมช้อปใช้ 7  วันแรกอยู่ที่ 5.5 ล้านราย ส่งเอสเอ็มเอสยืนยันสิทธิ์แล้ว 4.7 ล้านราย เหลือส่งเอสเอ็มเอส 8 แสนราย  โดยใน 4.7 ล้านราย มีจำนวน 2.7 ล้านรายที่โหลดแอปพลิเคชันเป๋าตังแล้ว อีก 8.2 แสนรายยังไม่ได้ทำอะไรเลย และอีก 1.1 ล้านรายอยู่ระหว่างดำเนินการสแกนภาพหน้าผ่านสิทธิ์" นายลวรณกล่าว
นายลวรณกล่าวอีกว่า ผู้ใช้สิทธิ์ 10 ล้านคนตามโครงการแม้มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายชนชั้นกลาง วัยทำงานชัดเจน ซึ่งมีจำนวนกว่า 10 ล้านคน แต่พบว่าประชาชนทุกกลุ่มให้ความสนใจกับมาตรการมาก เช่น มีผู้สูงอายุเกิน 100 ปีมาลงทะเบียนใช้สิทธิ์ชิมช้อปใช้ถึง 5-6 ราย
    "ชิมช้อปใช้ในส่วนกระเป๋าเงินแรกรายละ 1,000 บาท สามารถนำไปซื้อทองจากร้านขายทองที่ร่วมโครงการได้ แต่ในส่วนกระเป๋าที่สองที่ผู้รับสิทธิ์จะได้รับเงินคืน 15% หรือไม่เกิน 4,500 บาท ในวงเงินใช้จ่าย 30,000 บาทต่อรายนั้น ไม่สามารถนำไปซื้อทองคำได้และไม่อนุญาตให้ร้านทองเข้าร่วมโครงการ" นายลวรณกล่าว 
 ขณะที่นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติงานกระทรวงการคลัง) กล่าวถึงมาตรการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทยว่า มีขั้นตอนง่ายกว่าชิมช้อปใช้ เพราะเป็นการต่อยอดหนุนให้เกิดการท่องเที่ยว เงินกระจายออกสู่ต่างจังหวัด รวมทั้งยังมาตรการเที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลกเพื่อเน้นดูแล 6 กลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้สูงอายุ สุภาพสตรี และวัยรุ่นจบใหม่เริ่มเข้าทำงาน ที่ยังมีเวลาท่องเที่ยวได้ไม่มีปัญหาออกเดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดา
    "แนะนำผู้ลงทะเบียนชิมช้อปใช้เตรียมตัวกดคีย์บอร์ดลงทะเบียนผ่าน Official Line ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่เตรียมรองรับเอาไว้ 4 หมื่นแพ็กเกจ มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายวันรุ่นยุคดิจิทัล กลุ่มเจนเอ็กซ์ เจนวาย หรือคนระดับกลางมีกำลังซื้อ ซึ่งหากกลุ่มผู้ลงทะเบียนชิมช้อปใช้สนใจโปรโมชันของรัฐบาลที่ออกมาครั้งนี้ จะส่งผลต่อการกระจายเม็ดเงินออกสู่การท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรอง ส่งผลต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะมีเงินหมุนต่อไปอีกหลายรอบและพยุงเศรษฐกิจปลายปีให้ดีขึ้น" นายชาญกฤชกล่าว
    นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการ รมว.การคลัง กล่าวถึงมาตรการชิมช้อปใช้ว่า ประชาชนตอบรับเป็นอย่างดี ส่วนปัญหาเล็กๆ น้อยๆ หน่วยงานก็เข้าไปดูแลแล้ว ซึ่งจากการลงพื้นที่ตรวจสอบนั้นทุกอย่างเรียบร้อยดี โดยในวันศุกร์ที่ 4 ต.ค.นี้ นายอุตตมจะลงพื้นที่ติดตามมาตรการชิมช้อปใช้ที่ จ.ระยองด้วย แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมแกนนำพรรคเพื่อไทยไม่ว่าจะเป็นคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์  ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และนายอนุสรณ์  เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย ต่างออกมาโจมตีมาตรการดังกล่าวว่าไม่มีประสิทธิภาพ ช่วยนายทุน  ช่วยคนรวย ทั้งที่ประชาชนได้ประโยชน์ เหมือนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหมตั้งข้อสังเกตว่า อะไรที่รัฐบาลทำแล้วเกิดผลตอบรับที่ดีกับประชาชน ฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยหมด
    "น่าเศร้าใจมากที่มีวิธีคิดแบบนี้ ที่สำคัญรัฐบาลไม่ได้ผลาญงบเหมือนที่ฝ่ายค้านเคยทำในอดีต ไม่ว่าจะเป็นโครงการจำนำข้าวและบ้านเอื้ออาทร ยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้จะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของพี่น้องคนไทยทุกคน จะไม่ทำเพื่อนายทุนเด็ดขาด" นายธนกรกล่าว
    ด้าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวว่า หากคะแนนเต็ม 100 ขอให้แค่ 2 คะแนน เป็นคะแนนความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยเหลือประชาชน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมีการใช้งบประมาณมากถึง 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อวิกฤติเศรษฐกิจในขณะนี้ การหว่านเงินครั้งนี้ไม่มีเป้าหมายชัดเจนจะเจาะจงกลุ่มใด มีการกำหนดเงื่อนไขลงทะเบียนแบบใครมาก่อนได้ก่อน มีขั้นตอนลงทะเบียนยุ่งยาก จะลงทะเบียนได้ต้องมีมือถือ อินเทอร์เน็ตที่มีประสิทธิภาพ มีเวลามานั่งจ้องลงทะเบียน ทำให้คนที่ได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจไปถึงแค่คนชั้นกลางที่อยู่ในเมืองใหญ่ ไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจถึงระดับฐานราก
"ยังพบปัญหาความไม่ไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อรัฐบาล เพราะมีการเก็บข้อมูลจากประชาชนโดยสแกนใบหน้า จึงตั้งข้อสังเกตมาตรการนี้ ออกมาเพื่อเก็บข้อมูลแบบยิงนัดเดียวได้นกหลายตัวหรือไม่  ข้อมูลที่เก็บไปปลอดภัยหรือไม่ แม้จะเป็นมาตรการระยะสั้นที่ดูดี แต่ไม่เพียงพอต่อการสร้างความเชื่อมั่นภาพรวมเศรษฐกิจ" น.ส.พรรณิการ์กล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"