อัดฉีดวัคซีน..ความอดทน สร้างภูมิคุ้มกัน..ทำร้ายตัวเอง


เพิ่มเพื่อน    

       สภาพสังคมในปัจจุบันที่พ่อแม่เลี้ยงลูกแบบรอไม่ได้ ตลอดจนสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น โฆษณาหน้าจอทีวี หนังละครการ์ตูน ที่สามารถย้อนดูได้โดยไม่ต้องรอ เป็นสาเหตุหนึ่งของการทำให้เด็กไม่อดทน ที่สำคัญพฤติกรรมดังกล่าวจะนำไปสู่การที่เด็กและเยาวชนยุคใหม่นั้น ใจร้อน และขี้หงุดหงิดง่าย รวมถึงยังส่งผลให้ เด็กขี้กลัว อ่อนแอ ขาดความมั่นใจ ดื้อ ต่อต้าน กระทั่งทำให้กลายเป็นอันธพาลและอาชญากรได้ในที่สุด

                ปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเร่งด่วน เพราะหากปล่อยปละละเลยอาจร้ายแรงถึงขนาดเด็กคิดสั้นจนทำร้ายตัวเองถึงแก่ชีวิต เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้เด็กและเพิ่มความสามารถในการปรับตัวในสภาวะยากลำบาก ในงานจัดตั้งศูนย์ Samitivej Parenting Center เพื่อให้สถาบันครอบครัวได้มีส่วนร่วมกับแพทย์ ในการแก้ไขปัญหาและหาทางด้านจิตใจ เพื่อให้บุตรหลานมีความยืดหยุ่น ฟื้นตัวกลับมาอยู่ได้เมื่อตกอยู่ในภาวะวิกฤติ ทีมแพทย์เด็กได้ออกมาสะท้อนปัญหาและทางออกด้านความบกพร่องทางอารมณ์ของเด็กและเยาวชนไว้น่าสนใจ

                พญ.สมสิริ สกลสัตยาทร ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการ บริษัท สมิติเวช จำกัด ให้แนวคิดว่า เนื่องจากสภาพสังคมในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนไป ดังนั้นการที่ผู้ปกครองหันมาเอาใจใส่เกี่ยวกับความรู้สึกของเด็กนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะปัจจุบันพ่อแม่มักปล่อยให้เด็กเล็กนั่งดูมือถือ ซึ่งจะทำให้เด็กไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง กลายเป็นเด็กที่ขี้กลัว ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเอง และทำให้พ่อแม่ต้องช่วยลูกทุกอย่าง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวนั้นถือเป็นการที่ผู้ปกครองสร้างโลกสีชมพูให้เด็ก ซึ่งอารมณ์ที่ผิดปกติดังกล่าวนั้นจะทำให้เด็กเมื่อโตไปเข้าโรงเรียนเกิดปัญหาได้

                สำหรับการแก้ปัญหาเด็กรอไม่ได้ จริงๆ แล้วต้องแก้ไขที่ความคิดความเห็นของพ่อแม่ เนื่องจากว่าปัจจุบันทุกอย่างเป็นไปด้วยความเร็ว ทั้งเรื่องเทคโนโลยีและวัตถุค่อนข้างเข้ามาเยอะ แต่ผู้ปกครองต้องออกไปทำงานหรือไปช่วยคนอื่น จนกระทั่งลืมว่าตัวเองทำงานเพื่ออะไร คำตอบคือเพื่อลูก เพราะต้องการเลี้ยงให้ลูกดีที่สุด แต่ทิ้งลูกไปเลยโดยการออกไปทำงาน ดังนั้นอยากให้พ่อแม่ทุกคนกลับดูว่า สิ่งที่ทำเพื่อลูกนั้นเขาได้ประโยชน์จริงหรือเปล่า เพราะทุกวันนี้ทุกคนเร่งทำงานเพื่อเขา แต่เอาเรื่องลูก รวมถึงเรื่องของการงานมาเปรียบเทียบกัน ที่สำคัญลืมไปว่าลูกตัวเองอยู่อย่างไร ดังนั้นจึงอยากให้ผู้ปกครองกลับมามองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านตัวเองก่อน เพราะว่าเรามักจะไปมองว่าลูกบ้านอื่นเรียนหนังสือเก่ง และกลับมาบอกให้ลูกตัวเองเรียนหนังสือเก่ง แต่ไม่ได้มองว่าลูกจริงๆ แล้ว เขามีเรื่องราวความเก่งของตัวเขาอยู่ แต่เก่งด้านอื่นที่พ่อแม่ต้องกลับมาดู ไม่ใช่ว่าผู้ปกครองจะต้องผลักลูกออกไปโดยที่ไม่เข้าใจจิตใจเด็ก อยากให้พ่อแม่ตระหนักเรื่องนี้ค่ะ

                ด้าน พญ.สุรางคณา เตชะไพฑูรย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม รพ.สมิติเวช และ รพ.บีเอ็นเอช และผู้อำนวยการ รพ.เด็กสมิติเวช บอกว่า เด็กในกรุงเทพฯ นั้นมีความอดทนน้อยกว่าเด็กชนบทถึง 2 เท่า เพราะสภาพแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมเมือง การเลี้ยงดูที่สุขสบาย พ่อแม่ปกป้องลูกมากเกินไป มีเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น เร็วขึ้น ทำให้เด็กไม่ต้องทนรออะไร อยากพูดหรืออยากแสดงออกก็สามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องคิดถึงผลกระทบต่อคนอื่น การแก้ปัญหานี้แต่ต้นจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น โดยต้องเร่งพัฒนาอาร์คิว (RQ) Resilience Quotient หรือความฉลาดทางอารมณ์ ที่จะช่วยให้เด็กสามารถปรับตัวในสภาวะที่ยากลำบาก จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับยุคนี้

                การฝึกเด็กให้รู้จักความอดทน คือหมอเน้นเรื่องการเลี้ยงดู โดยการนำเรื่องการ อีเอฟ (EF) เข้ามาในการจัดการสถานการณ์ต่างๆ ที่เริ่มต้นด้วยพ่อแม่ต้องทำความเข้าใจ และปรับวิธีการเลี้ยงดูลูกให้ทันกับสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ที่สำคัญพ่อแม่ก็ต้องกลับมาฝึกตัวเองเพื่อให้เข้าใจ และนำความรู้นั้นเข้ามาฝึกตัวเอง เช่น การใช้วิธีเชิงบวก และการกระตุ้นในเชิงลบ และการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก ถ้าเราสามารถทำได้ เราก็จะทำให้ลูกมีความแข็งแกร่ง ยืนหยัดและเข้าใจ เพราะบางอย่างเราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนโลกข้างนอกได้ ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมลูกของเราให้พร้อม เพื่อให้เขายืดหยัดและใช้ชีวิตต่อไปได้

                ซึ่งหากจะถามว่าปัญหาความพกพร่องทางอารมณ์ อันไหนของเด็กร้ายแรงที่สุด คงต้องแยกก่อนว่าปัญหาที่เกิดจากต้นเหตุ อย่างปัจจุบันที่เด็กรอไม่ได้นั้น อันแรกเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บหรือการเป็นเด็กสมาธิสั้น หรือปัญหาทางอารมณ์ที่เด็กมีอยู่ นอกจากนี้คือเด็กไม่ได้มีปัญหา แต่มันเกิดจากการเลี้ยงดู สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลี้ยงดูลูก เพราะเรื่องของโรคนั้นเรามีทางรักษา แต่ทำอย่างไรให้การเลี้ยงดูเป็นไปในเชิงของการป้องกันและปรับปรุง เพื่อช่วยส่งเสริมให้เด็กเจริญเติบโตได้อย่างปกติและมีความสุข เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองควรตะหนัก

                ขณะที่ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ผู้อำนวยการศูนย์ Samitivej Parenting Center กล่าวว่า ศูนย์แห่งนี้จะเน้นให้คำปรึกษาแก่พ่อแม่และผู้ปกครองโดยตรง โดยใช้หลักการเลี้ยงลูกด้วยหลัก EF (Executive Functions) หรือการบริหารทักษะสมอง หรือพูดให้เข้าใจง่ายคือ หลักของการฝึกตัวเองให้ไปสู่จุดมุ่งหมาย เพราะอันที่จริงแล้วมนุษย์สามารถจัดการกับตัวเองได้ โดยอาศัยหลัก 6 ประการ เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตเด็ก โดยการสร้างความยืดหยุ่นทางอารมณ์และความคิด และช่วยให้เด็กสามารถปรับตัวได้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

                1.หันเข้าหาตัวเอง เพื่อฝึกให้เกิดการทบทวน และทำให้สมาธิเพื่อควบคุมตัวเองได้ โดยเฉพาะเวลาที่รู้สึกหงุดหงิดจากการที่ต้องเด็กรอไม่เป็น 2.ใช้ระบบเบรกตัวเอง เนื่องจากมนุษย์ทุกคนนั้นจะมีระบบเบรก เช่น เวลาที่เราหิว หรืออยากได้อะไร เราสามารถบอกกับตัวเองว่า เรารอได้ เพราะการรอนั้นสำคัญที่สุด อีกทั้งการที่เรารอนั้นจะทำให้เราสามารถคิดวางแผน เพื่อบริหารจัดการตัวเอง หรือฝึกตัวเองให้ดีได้เช่นกัน 3.คิดถึงสิ่งที่ดีๆ เอาไว้ หมอยกตัวอย่างคลิปวิดีโอที่มีการฝึกให้เด็กรอที่จะกินขนมหวาน ซึ่งถ้าเด็กรอได้ในระยะเวลาที่กำหนด เขาจะได้กินขนมถึง 2 ชิ้น 4.คิดเป็นคำพูด เพื่อให้เกิดการจดจำและปฏิบัติตาม

                5.กำหนดอารมณ์ของตัวเองให้ได้ เนื่องจากภายในจิตของเราจะมีอารมณ์เป็นตัวกำหนด ดังนั้นเราต้องกำหนดอารมณ์ของตัวเองให้ได้ เช่น การที่เราบอกกับตัวเองว่าเราอยากทำอะไรที่ดีๆ สักอย่าง เมื่อนั้นเราก็จะทำในสิ่งที่เราคิด เพราะถ้าเราสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ จะทำให้เราควบคุมตัวเองได้ เช่น ถ้าเรารู้สึกเซ็งไม่อยากทำอะไร มันก็จะทำให้เราอยากลุกขึ้นมาทำสิ่งต่างๆ หรือเบรกอารมณ์เหล่านั้นไว้ก่อน 6.ใช้คำพูดหรือภาพที่เด็กเคยเห็นเป็นตัวจัดการหรือควบคุมตัวเอง

                นพ.ธีระเกียรติ บอกอีกว่า สำหรับเด็กที่มี EF ดีหรือมีการทักษะการจัดการกับตัวเองที่ดี จะเป็นเด็กที่พูดน้อย แต่ฟังเยอะ เขาจะเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ในใจ เพราะเด็กจะรู้ว่าวันข้างหน้านั้นจะมีสิ่งที่ดีกว่านี้เกิดขึ้นในชีวิตของเขา ยกตัวอย่างคลิปวิดีโอทดสอบความอดทนรอกินขนมของเด็ก ที่หากเด็กรอได้ในระยะเวลาที่กำหนด เด็กจะได้ขนมเพิ่มอีก 1 ชิ้น ที่สำคัญผลการวิจัยจากคลิปวิดีโอทดสอบความอดทนดังกล่าว ยังสะท้อนให้เห็นว่าเด็กที่สามารถอดทนรอสิ่งต่างๆ ได้ จะมีผลการเรียนที่ดีขึ้น ตกงานน้อยกว่าเด็กที่ไม่อดทน และหย่าร้างน้อยกว่า ที่สำคัญเด็กคนนั้นจะมีคู่ครองที่ดีว่า ดังนั้นหลักของการจัดตัวเองทั้ง 6 ด้าน หรือ EF ที่กล่าวมา จึงเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเด็กในแง่ของการจัดการกับอารมณ์ด้านลบ

                “นอกจากนี้ เด็กที่ออกกำลังกายก็จะทำให้พลังจิตที่ดี เพราะระหว่างที่เขาออกกำลังกายถือเป็นการฝึกสมาธิไปในตัว เห็นได้จากการรักษาเด็กสมาธิสั้น ที่ให้เด็กเต้นแอโรบิกเอกเซอร์ไซส์ หรือให้เด็กวิ่งทุกชั่วโมง เพื่อให้เกิดพลังทางจิตที่ดี นอกจากนี้ การกินดี นอนหลับที่ดี และใช้เวลาว่างไปกับกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ อย่างการเล่นแท็บแล็ต แต่เปลี่ยนเป็นการอ่านหนังสือแบบเป็นรูปเล่ม แทนการอ่านในแท็บแล็ตที่มีผลวิจัยว่าเด็กจะจำได้น้อยกว่าการอ่านในหนังสือที่เป็นกระดาษ          

                ที่สำคัญมากที่สุดคือ หากเด็กเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก อันดับแรกแนะนำให้ผู้ปกครองบอกกับเด็กๆ ว่าให้นิ่งเงียบสงบก่อน และหากเด็กคนไหนที่มี EF หรือการจัดการกับตัวเองที่ดี เขาก็จะดึงเอาภาพดีๆ ในการรับมือกับเหตุการณ์ลำบากได้ด้วยตัวเอง เช่น การอดทนรอบางสิ่งเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ดีกว่า หรือการที่เด็กบอกกับตัวเองว่า ฉันทำได้ หรือคำพูดที่บอกว่า เดี่ยวมันก็ผ่านไปนะ                

                นพ.ธีระเกียรติ กล่าวปิดท้ายว่า สำหรับการรับมือกับเหตุการณ์ที่เด็กอาจไม่ได้รับการตามใจ เช่น การกรีดร้องเวลาที่อยากได้ของเล่นในห้างสรรพสินค้า ผู้ปกครองสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยการไม่พาเด็กไปเดินห้างตั้งแต่แรก เพราะผู้ปกครองจะต้องทราบอยู่แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ดังนั้นจึงควรเลี่ยงการเผชิญหน้าเหตุการณ์ดังกล่าว หรือเปลี่ยนมากินข้าวที่บ้านแทน หรือแม้แต่การที่เด็กร้องไห้และต่อต้านการไปหาหมอฟัน ผู้ปกครองอาจจะต้องเลือกร้านที่คุณหมอเฟรนด์ลี ตรงนั้นจะทำให้เด็กไม่กลัวการถอนฟัน หรือเบี่ยงเบนความสนใจเด็ก ซึ่งถ้าเด็กยังคงร้องไห้ ก็ให้ผู้ปกครองบอกกับเด็กว่าอีกแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว หรือแม้แต่การที่เด็กพูดไม่เพราะ ผู้ปกครองไม่ควรสนใจ เพราะถ้าพ่อแม่ไม่ฟัง เด็กก็จะเลิกพูดไปเอง”.

ล้อมกรอบ

คุณแม่ลูก 2 ใช้กีฬาฟุตบอลสอนลูกเรียนรู้โลกภายนอก-ฝึกความมั่นใจเด็ก

                นิหน่า-สุฐิตา ปัญญายงค์ เล่าว่า ลูกชายวัย 7 ปีไปโรงเรียนเล่าให้ฟังว่า เพื่อนไม่ให้เล่นฟุตบอลด้วย เพราะเพื่อนบอกว่าลูกชายเล่นฟุตบอลไม่เก่ง แต่เนื่องจากเราเป็นครอบครัวที่ไปไหนไปกัน และเลี้ยงลูกแบบเปิดใจรับฟัง ซึ่งหลักจากที่ลูกเล่าให้ฟังแบบนี้ สิ่งแรกที่ตัวนิหน่าทำคือ การเข้าใจลูกว่าเขาเสียใจที่เพื่อนรุ่นพี่ไม่ให้เล่นฟุตบอลด้วย นิหน่าจึงบอกกับลูกชายว่า ให้เขาลองพิสูจน์ตัวเองกับเพื่อนๆ โดยการไปนั่งข้างสนาม เพื่อช่วยเก็บลูกฟุตบอล และเพื่อให้เพื่อนรู้ว่าเราเล่นฟุตบอลเป็น กระทั่งสุดท้ายเพื่อนรุ่นพี่ยอมให้ลูกชายเล่นฟุตบอลด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นตัวสะท้อนให้เด็กเขารู้จักคิดเอง โดยในฐานะคนเป็นแม่ก็จะคอยเป็นไกด์ไลน์ให้ลูก สุดท้ายเมื่อเด็กทำได้ เขาก็จะภูมิใจในตัวเอง และมั่นใจว่าเขาสามารถแตะฟุตบอลได้ หรืออยากเล่นฟุตบอลจริงๆ เพราะอันที่จริงแล้วนิหน่ามองว่าการเล่นกีฬานั้น มันช่วยจำลองโลกให้เด็กเห็นโลกภายนอก รวมถึงการรู้จักแพ้ รู้จักชนะ และรู้จักอภัยค่ะ”.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"