
"สมาพันธ์เกษตรฯ" จับมือ "สมาคมเกษตรกรฯ ปลูกพืช ศก. 6 ชนิด" บุก ก.เกษตรฯ 21 ต.ค.นี้ ยืนขอรัฐชะลอเลิก 3 สารเคมี อ้างรอแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรก่อน ส่วน "เครือข่ายหนุนแบนสารเคมี" ร่วมกับ สธ.เตรียมแถลงจุดยืนให้ กก.วัตถุอันตรายเลิกใช้สารพิษเด็ดขาดวันจันทร์นี้ "มนัญญา" รอลุ้น ลั่นทำดีที่สุดแล้ว "นักวิชาการ" แนะฝ่าย "หนุน-แบน" สู้กันด้วยข้อมูลให้ความรู้ ปชช.
เมื่อวันที่ 20 ต.ค. นายสุกรรณ์ สังขวรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย กล่าวถึงกรณีการส่งเรื่องยกเลิกการใช้ 3 สารเคมีทางการเกษตร ทั้งคลอร์ไพริฟอส, พาราควอต และไกลโฟเซต เข้าที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณาว่า ในวันจันทร์ที่ 21 ต.ค.นี้ ช่วงเช้าสมาพันธ์ฯ จะร่วมกับผู้แทนสมาคมเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจ 6 ชนิด คือ อ้อย ปาล์มน้ำมัน ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าวโพด และไม้ผล แถลงจุดยืนที่โรงแรมเอเชีย เพื่อให้รัฐชะลอการพิจารณายกเลิกสาร 3 ชนิดออกไป โดยหานวัตกรรมและแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้ก่อน
"เราเห็นว่าการยกเลิกสารเคมีทั้ง 3 ชนิด จะทำให้เกษตรกรได้รับผลกระทบทั้งต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ปริมาณและคุณภาพผลผลิตต่ำลง จากงานวิจัยของ รศ.พูนพิภพ เกษมทรัพย์ ภาควิชาพืชสวน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุแปลงมันสำปะหลังนั้น หากควบคุมวัชพืชไม่ได้ ภายใน 2 เดือน ผลผลิตจะเสียหายถึงร้อยละ 80 ส่วนตนเองนั้นปลูกอ้อยกว่า 400 ไร่ หากไม่ป้องกันกำจัดหญ้า ผลผลิตจะลดน้อยลงเช่นกัน" นายสุกรรณ์กล่าว
เลขาฯ สมาพันธ์เกษตรปลอดภัยกล่าวว่า ในช่วงบ่ายจะไปพบกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะผู้บริหารสูงสุด ให้รับทราบถึงความเดือดร้อนของเกษตรกร อีกทั้งจะเสนอทางออกจากปัญหาที่สังคมสับสนว่าข้อมูลฝ่ายใดจริง ฝ่ายใดเท็จ รัฐสามารถให้มีการนำเสนอข้อมูลทางวิชาการและข้อมูลเชิงประจักษ์ให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง หากยังมีประเด็นใดไม่ชัดเจน สามารถวิจัยใหม่ได้ จากนั้นจึงค่อยพิจารณาแก้ปัญหาให้ตรงจุด เนื่องจากการเลิกใช้สารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่งแล้วให้ใช้สารเคมีชนิดใหม่ทดแทนไม่ได้ทำให้ผู้บริโภคปลอดภัยขึ้น ผู้ได้ประโยชน์คือผู้ค้าสารเคมี ซึ่งไม่ว่าจะใช้สารใดก็ขายได้ทั้งนั้น
"การยกเลิกสารเคมี 3 ชนิดไม่ใช่ทางออก เพราะมีความสุ่มเสี่ยงที่เกษตรกรบางส่วนที่จำเป็นต้องใช้ เนื่องจากยังไม่มีนวัตกรรมใดที่มีประสิทธิภาพทัดเทียมมาทดแทน จะแอบซื้อแอบใช้ ตลอดจนหาสารเคมีชนิดอื่นมาใช้ แต่มาตรการจำกัดการใช้ที่สอนให้เกษตรกรรู้วิธีป้องกันตัวเองขณะฉีดพ่น ใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เก็บเกี่ยวผลผลิตหลังฉีดพ่นสารเคมีตามข้อกำหนด จะทำให้ทุกฝ่ายปลอดภัย ส่วนที่รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยระบุว่าหากยกเลิกสารเคมี 3 ชนิดไม่ได้จะลาออกทั้งหมดนั้น กลุ่มเกษตรกรต้องการให้ลาออกเสียก่อนที่จะมีการพิจารณา" เลขาฯ สมาพันธ์เกษตรปลอดภัยกล่าว
ลุ้นมติ กก.วัตถุอันตราย
ขณะที่ น.ส.ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายสนับสนุนการแบนสารเคมีการเกษตรอันตราย 3 ชนิด กล่าวว่า พาราควอต, ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส มีพิษร้ายแรงเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนเกินกว่าที่จะยอมรับได้ ในช่วงเช้าวันที่ 21 ต.ค.นี้ จะร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ประกาศจุดยืนให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายยกเลิกการใช้
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ยืนยันว่า กระทรวงเกษตรฯ ต้องดำเนินมาตรการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด ได้แก่ คลอร์ไพริฟอส, พาราควอต และไกลโฟเซต ตามประกาศกระทรวงเกษตรฯ 5 ฉบับ ที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 14 ก.พ. โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. จนกว่าคณะกรรมการวัตถุอันตรายจะมีมติอื่นใด
นายเฉลิมชัยกล่าวว่า ไม่ทราบในการประชุมวันที่ 22 ต.ค. จะมีวาระพิจารณาเรื่องสารเคมีดังกล่าวหรือไม่ หากมีต้องรอดูว่าจะมีมติให้จำกัดการใช้ต่อไปหรือยกเลิก ซึ่งการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายไม่ได้แจ้งมาที่ รมว.เกษตรฯ แต่จะแจ้งไปที่กรรมการโดยตรง ซึ่งผู้แทนของกระทรวงเกษตรฯ เป็นกรรมการ 5 คน จากทั้งหมด 29 คน ได้แก่ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร อธิบดีกรมปศุสัตว์ อธิบดีกรมประมง และเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)
“ไม่ว่าคณะกรรมการวัตถุอันตรายจะมีมติอย่างไร กระทรวงเกษตรฯ ในฐานะหน่วยงานปฏิบัติต้องทำตาม แต่ขณะนี้ยังคงต้องดำเนินมาตรการจำกัดการใช้ตามมติเดิม ไม่เช่นนั้นกระทรวงเกษตรฯ จะผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกรด้านต่างๆ ไว้แล้ว” รมว.เกษตรฯกล่าว
น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า วันที่ 22 ต.ค. จะมีการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งได้บรรจุวาระพิจารณาเกี่ยวกับสารเคมีวัตถุอันตราย 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต, ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ซึ่งตรงกับวันประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังจากเสร็จสิ้นประชุม ครม.อาจจะไปติดตามผลมติจากที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย หากคณะกรรมการฯ ยังพิจารณาวาระนี้ไม่เสร็จสิ้น
“ลุ้นระทึกนาทีต่อนาที เพราะทุกเรื่องที่ทำไปนั้นสุดมือแล้ว ขณะนี้รอดูคณะกรรมการวัตถุอันตรายรับไม้ต่อไป ซึ่งทางนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ทำสุดตัวเช่นกัน โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขนั้น กรมต่างๆ เดินหน้าแบน 3 สารตลอดทุกนาที แต่เมื่อทำมาถึงขนาดนี้มีความหวัง 90% ที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายจะมีมติยกเลิก ซึ่งขอความกรุณาปรานีจากคณะกรรมการฯ ให้เห็นใจคนเจ็บ คนป่วย และอย่าให้คนไทยต้องมาเจ็บป่วยมากกว่านี้เลย” น.ส.มนัญญากล่าว
รมว.เกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า จากนี้จะสั่งให้กรมวิชาการเกษตรนำบัญชีพืชสมุนไพรไทยมาผสมทำสูตรกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชแมลงโรค รวมทั้งสูตรทำปุ๋ยอินทรีย์และน้ำหมักชีวภาพที่มีจำนวนมากให้เข้าสู่ขั้นตอนการขึ้นทะเบียน เพื่อสามารถจำหน่ายได้ ซึ่งที่ผ่านมาการขึ้นทะเบียนปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพในไทยยังขึ้นทะเบียนยาก นอกจากนี้สั่งกรมวิชาการเกษตรและกรมส่งเสริมการเกษตรระงับการอบรมเกษตรกรที่ใช้สารเคมีไว้ก่อน แม้ประกาศกระทรวงเกษตรฯ 5 ฉบับเกี่ยวกับการจำกัดการใช้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด จะมีผลวันที่ 20 ต.ค. โดยให้รอมติคณะกรรมการวัตถุอันตรายอีก 2 วัน
ถามว่ากลุ่มเกษตรกรที่ต้องการใช้สารเคมี 3 ชนิดต่อไป ระบุมีความพยายามยกเลิกครั้งนี้เป็นทฤษฎีสมคบคิด เพราะมีผู้ผลิต/ค้าสาร นักการเมือง และเอ็นจีโอได้ผลประโยชน์จากนำเข้าสารเคมีชนิดใหม่ น.ส.มนัญญากล่าวว่า ไม่ใช่อาชีพของตน และไม่เคยมีผลประโยชน์ มาดูได้ทั้งปูมหน้าปูมหลัง ถ้ามีเรื่องผลประโยชน์ การยกเลิกสารเคมีก็เงียบไปนานแล้ว
"การหาสารทดแทนเป็นหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตร ซึ่งสารเคมียังมีอีกเป็นร้อยชนิดในท้องตลาดที่เกษตรกรเลือกใช้ได้ ต้นทุนไม่สูงอย่างที่พูดกัน อีกทั้งได้ปรับตัวมาทำเกษตรปลอดภัยกันก่อนหน้านี้จำนวนมาก" น.ส.มนัญญากล่าว
นักวิชาการชี้สู้ด้วยข้อมูล
ด้านนายเชิดชัย จิณะแสน กรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการจำกัดการใช้สารเคมีทางการเกษตร และประธานคณะกรรมการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ระดับประเทศ กระทรวงเกษตรฯ กล่าวว่า ได้ทำหนังสือแจ้งประธาน ศพก. 882 อำเภอทั่วประเทศ ระบุเกษตรกรที่มีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีให้ใช้ต่อไปได้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎการใช้และข้อห้ามอย่างเคร่งครัดตามประกาศ 5 ฉบับของกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งภาคการเกษตรของไทยมี 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเกษตรเคมี, กลุ่มเกษตรปลอดภัย และกลุ่มเกษตรอินทรีย์ แต่ละกลุ่มเลือกวิถีเกษตรกรรมตามสภาพพื้นที่ ทุนดำเนินการ และปัจจัยแวดล้อม แต่ขอให้สมาชิก ศพก.อย่าเปรียบเทียบว่าสินค้าเกษตรของกลุ่มใดดีกว่ากัน จะทำให้เกิดความขัดแย้งและนำไปสู่การแบ่งข้างตามกระแสโซเชียลมีเดีย
"อีก 2 วันข้างหน้าจะมีการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย หากมีมติยกเลิกสารเคมีทั้ง 3 ชนิด อาจสร้างความเสียหายให้แก่กลุ่มเกษตรไร่อ้อย ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ยางพารา ข้าวโพด และไม้ผล รวมถึงอื่นๆ เกษตรกรเกรงว่าการช่วยเหลือของภาครัฐจะล่าช้าจนนำไปสู่การขาดความเชื่อมั่นรัฐบาล จึงขอให้ทุกภาคส่วนโปรดพิจารณาข้อมูลทางวิชาการอย่างรอบด้าน และหันมาพูดคุยกัน เพื่อหาทางออกที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกษตรกรต้องขาดเครื่องมือในการประกอบอาชีพ และยังสร้างความแตกแยกทางความคิดในสังคมอีกด้วย" ประธาน ศพก.กล่าว
วันเดียวกัน รศ.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง กล่าวถึงกลุ่มหนุนและกลุ่มแบน 3 สารเคมีเกษตรว่า เรื่องแบนสารเคมีน่าจะแบนได้ วิเคราะห์จากการให้ข่าวของทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งบอกว่ามีอันตรายต่อชีวิต ทำให้เกิดโรค ทำให้เกิดผลกระทบต่างๆ ต่อสุขภาพของผู้ใช้และผู้บริโภค ขณะที่อีกฝ่ายมาพูดเรื่องราคาถูก แต่ไม่ได้ประกันเรื่องสุขภาพให้กับประชาชนเลย
"จะเห็นว่าข้อมูลของฝ่ายแบนมีเหตุผลดีกว่า เรื่องสุขภาพมันไม่สมควรจะเอาอะไรมาต่อรองทั้งสิ้น ของบางอย่างต้องกลบฝังดินเลย ไม่ใช่ว่าเหลือแล้วต้องใช้ให้หมด เรื่องนี้ถ้าภาครัฐไปโอนอ่อนผ่อนตาม กลับไปบอกว่าให้แบนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ยิ่งจะโดนสังคมวิพากษ์วิจารณ์ โดนตั้งคำถามว่าเห็นชีวิตคนเป็นอะไร" รศ.สุขุมกล่าว
ส่วน รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า ตอนนี้สังคมได้เดินมาไกลแล้ว คนที่กลัวสารเคมี เป็นสิทธิ์ของเขา อย่าไปปรามาสว่ารู้น้อย ไม่หาข้อมูล เพราะหากจะเปลี่ยนใจ ก็ต้องให้ข้อมูลแก่อีกฝ่าย ซึ่งขอให้สู้กันด้วยข้อมูล.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |