การเมืองกับครูบาเจ้าศรีวิชัย


เพิ่มเพื่อน    

     ก็ต้อง "สาธุ" อีกครั้ง กับกุศลเจตนาของ "หลวงปู่พุทธะอิสระ"

                "พุทธะ" เป็นที่ใจ

                ไม่ได้เป็นเพราะกายคลุมจีวร!

                ตามที่หลวงปู่เคยบอก จะครองจีวรคืนสู่สมณเพศในวันที่ ๕ ธันวานั้น

                เพื่อไม่เป็นการสร้างประเด็นขัดแย้งให้เกิดขึ้นทั้งทางโลกและทางธรรม ทั้งเอื้อเฟื้อต่อการปกครองคณะสงฆ์

                หลวงปู่จะยังคงสภาวะ "พระอยู่ที่ใจ" ในชุดขาวต่อไป จนกว่าคดีความที่ค้างคาทั้งหลายจบสิ้น

                จากนั้น จะกลับไป "ขอบวช" เป็นพระนวกะอีกครั้ง

                ครับ....
                นี้แหละ "พุทธบุตร" ผู้ถึงแก่นธรรมจากโอษฐ์พระพุทธองค์โดยแท้ ในข้อว่า...

                "สูทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้อันตระการอยู่ดุจราชรถ ที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่"

                เมื่อวาน มีการยกเรื่องพระพิมลธรรมต้องคดีมาเทียบเคียง ว่าขณะถูกคุมขัง ท่านนุ่งขาว-ห่มขาว  จิตไม่สละความเป็นพระ วัตรปฏิบัติครัดเคร่ง

                เมื่อศาลยกฟ้อง ท่านก็ครองจีวรเป็นพระดังเดิม

                มีอีกคดี ที่อ้างอิงเป็นแนวทางเดียวกัน คือคดี "ครูบาศรีวิชัย" ซึ่งท่านละสังขารไปแล้ว ๘๑ ปี

                "ครูบาศรีวิชัย คือพระโพธิสัตว์ ผู้จะตรัสรู้ภายภาคหน้า" "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ขณะจำพรรษาอยู่วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ กล่าวยกย่องไว้

                ครูบาศรีวิชัย ต้องอธิกรณ์ ถึง ๖ ครั้ง นับแต่ปี ๒๔๕๓ เรื่อยไปจนถึงปี ๒๔๗๙ ท่านต้องถูกขัง ถูกกักตัว ระหว่างสอบสวนนานเป็นปีๆ

                แต่ทั้ง ๖ ครั้ง เป็นคดีเกี่ยวกับระเบียบการปกครองสงฆ์ ไม่มีความผิดเกี่ยวกับพระวินัยและทางอาญา ทุกคดี สอบแล้ว ท่านก็ไม่มีความผิดอะไร

                พอดีเมื่อต้นเดือน "สมาคมชาวลำพูน" ส่งหนังสือ "ครูบาเจ้าศรีวิชัย" มาให้ ๑ ชุด รวม ๓ เล่ม ดร.ชัยณรงค์ ณ ลำพูน เป็นประธานคณะกรรมการจัดทำ

                ต้องบอกว่า เป็นหนังสือรวบรวมเรื่องราวครูบาเจ้าศรีวิชัย ครบถ้วน สมบูรณ์ สวยงาม มากคุณค่าที่สุดเท่าที่เคยมีผู้จัดทำมา

                ต้นทุนชำระประวัติศาสตร์ เพื่อเทิดทูนและยกย่องพระคุณของครูบาเจ้าศรีวิชัยนี้ "หลายสิบล้านบาท" แน่ๆ

                ขออนุโมทนาด้วยจริงๆ ถ้าจัดทำอีก ขอให้ผมมีส่วนร่วมบูชาคุณครูบาเจ้าศรีวิชัยบ้างนะครับ

                ที่บ้านผม มีครูบาเจ้าศรีวิชัยหลายองค์ทั้งห้องพระ หัวนอนและบนหิ้งองค์ ด้วยมั่นในศรัทธา จึงไม่สนใจถามว่าใครเอามาจากไหน

                คนทั่วไป รู้จักครูบาเจ้าศรีวิชัย ว่าสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ ไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุข้างบนนั้น

                ยิ่งเห็นรูปปั้นท่านตรงเชิงดอย ก็เลยสรุปเป็นความเข้าใจเอาเองว่า ท่านเป็นคนเชียงใหม่ อยู่เชียงใหม่

                หารู้ไม่ว่า อธิกรณ์ครั้งที่ ๖ ถูกสอบสวนที่เชียงใหม่แล้ว ยังถูกนำตัวไปวินิจฉัยโทษในกรุงเทพฯ นานถึง ๖ เดือนกว่า

                ตรงนี้แหละ.....
                นำไปสู่ "ครูบาเจ้าศรีวิชัย" ต้องลั่นวาจา ประหนึ่งกรวดน้ำคว่ำขันกับเมืองเชียงใหม่ว่า

                "ตราบใดที่น้ำปิงไม่ไหลย้อนกลับ จะไม่ขอไปเหยียบนครเชียงใหม่"

                เหตุเพราะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ในเชียงใหม่ยามที่เดือดร้อน

                ทั้งที่เดือดร้อนนั้น เพราะผู้ใหญ่ของเชียงใหม่ขอร้องให้ท่านทำโดยแท้!

                เมื่อลั่นวาจา ครูบาเจ้าศรีวิชัยก็กลับถิ่นบ้านเกิด คือลำพูน ไปจำพรรษาวัดบ้านปาง ที่อำเภอลี้  บ้านเดิมท่าน

                ไม่กลับไปเหยียบเชียงใหม่อีกเลย....

                แม้จะไปอ้อนวอนกันขนาดไหน ท่านก็ไม่กลับ ตราบมรณภาพ ณ พ.ศ.๒๔๘๑

                ทั้งหมดนี้ ผมเก็บความจากหนังสือครูบาเจ้าศรีวิชัย

                ศึกษาประวัติครูบาเจ้าแล้ว จะเห็นว่า ท่านบารมีสูง เป็นศูนย์กลางศรัทธาคนล้านนาก็ว่าได้

                ขนาด "คณะราษฎร" ยังหวั่นไหว เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง "พระยาพหลพลพยุหเสนา" ยังต้องไปนมัสการครูบาเจ้า

                ก็หวังภาพเพื่อการเมืองนั่นแหละ ไปนมัสการไม่พอ ยังวางสายลับไว้ให้คอยรายงานความเคลื่อนไหวครูบาเจ้าด้วย

                มีหลักฐานที่กองจดหมายเหตุ สำนักนายกรัฐมนตรี สายลับรายงานไปถึงคณะกรรมการคณะราษฎร ว่า

                "......พระศรีวิชัยองค์นี้ ทราบว่าทางราชการหรือผู้หลักผู้ใหญ่ในราชการไม่ค่อยเอาใจใส่ต่อท่าน ทั้งท่านเองก็แสดงอาการมักน้อยถือสันโดษ ไม่ชอบข้องแวะกับผู้ลากมากดีหรือลาภยศสิ่งใด

                ปฏิปทาของท่านมีแต่ทางเป็นพระคุณแก่ราษฎรสามัญ ท่านถึงมีความศักดิ์สิทธิ์ในหมู่ราษฎรทั่วไป

                ข้าพเจ้าเห็นว่า คณะราษฎรควรเอาใจใส่ต่อพระศรีวิชัยองค์นี้ไว้บ้าง ขอจงทำให้ถูกทางจะเท่ากับเรารวมหัวใจของชาวพายัพไว้ได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องลงทุนมากเลย......" ความเป็นพระเพื่อเมืองและบ้านเช่นนี้แหละ ทำให้ครูบาเจ้าถูก "การเมืองพระ" เล่นงานครั้งแล้วครั้งเล่า

                อย่างการสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ ทางการยังทำไม่ได้ แต่ครูบาเจ้า ใช้เวลา ๕ เดือน ๒๒ วัน ด้วยแรงศรัทธาคนล้วนๆ สำเร็จ รถยนต์วิ่งขึ้นไปได้

                ก็ดูซี ว่าคนศรัทธาครูบาเจ้าขนาดไหน ดังความในหนังสือนี้ว่า........

                ในช่วงสัปดาห์แรกหลังจากทำพิธีลงจอบแรกไปแล้วนั้น คนมาช่วยงานยังน้อยอยู่

                ต่อจากนั้นอีก ๑๕ วัน เมื่อผู้คนทราบข่าวเรื่องการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพจึงค่อยๆ ทยอยกันเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ

                ต่างมาขออาสาเป็นเจ้าภาพหรือมีส่วนร่วมในการทำทาง ขอแบ่งบุญคนละครึ่งวาบ้าง วาหนึ่งบ้าง  มากกว่านั้นบ้าง ตลอดทั่วทั้งภูเขามีเจ้าของผู้จับจองไปจนถึงบันไดนาค

                ผ่านไปได้ไม่กี่เดือน เริ่มมีคนมาช่วยงานไม่ต่ำกว่า ๕,๐๐๐ คนต่อวัน เกิดการแย่งยื้อในการขุดขนถางทางให้เรียบ จึงต้องสร้างข้อตกลงกันว่า ให้ขุดกันได้เพียงคนละ ๑ วาเท่านั้น..........

                เนี่ย ผู้คนศรัทธา ความอิจฉาจึงเกิด จึงเจอข้อหาจากเจ้าคณะจังหวัด บูรณะของเก่าไม่ขออนุญาต  ไม่รักษารูปเดิม ตัดไม้ทำลายป่าโดยไม่ขออนุญาตกรมป่าไม้

                พระลูกศิษย์ถูกจับสึก ตัวครูบาเจ้าถูกไต่สวน คุมตัวเข้ากรุงเทพฯ ไปกักบริเวณไว้ที่วัดเบญจมบพิตร

                ก่อนถูกคุมตัวเข้ากรุงเทพฯ ครูบาเจ้าแจ้งต่อคณะสงฆ์วัดพระสิงห์ผู้ไต่สวนว่า......

                ด้วยเวลานี้ถนนที่ขึ้นไปมนัสการพระเจดีย์สุเทพ อาตมาก็ได้ช่วยเหลือมามากแล้ว จนเป็นหนทางขึ้นไปนมัสการได้ แลเคยทำบุญมาแล้วครั้งหนึ่ง

                ฉะนั้น ตั้งแต่บัดนี้ไป อาตมาขอมอบไว้กับท่านพร้อมด้วยราชการบ้านเมือง เพื่อจะได้ดำริสร้างต่อไป ส่วนอาตมาเวลานี้ก็ได้ลงบันทึกต่อคณะสงฆ์ไว้แล้ว ว่าจะไม่ปฏิสังขรณ์ก่อสร้างไม่ว่าวัตถุใดๆ ในจังหวัดเชียงใหม่อีกแล้ว อาตมาขอยุติ ไม่ทำ......

                ก็ดูซี....

                ว่าวงการสงฆ์ทำกับครูบาเจ้าเช่นนี้ เพราะท่านทำผิดหรือทำดีเกินหน้า?

                ไม่เพียงวงการสงฆ์ วงการปกครอง ระดับผู้ใหญ่ของเชียงใหม่ก็ยังทำกับท่าน นำไปสู่การลั่นวาจาของครูบาเจ้า

                "ไม่ขอไปเหยียบเมืองเชียงใหม่อีก"!

                เอกสารปรากฏในหนังสือนี้ ว่า.........

                การสร้างถนนขึ้นสู่ดอยสุเทพทำให้ชื่อเสียงของครูบาเจ้าศรีวิชัยระบือไปไกล และหอมฟุ้งด้วยศีลธรรมบารมี ผู้คนจึงชักชวนกันมาขอให้ท่านบรรพชาอุปสมบทกันเป็นจำนวนมาก..........

                พระอานันท์ พุทธธัมโม บันทึกไว้ว่า ระหว่างงานทำบุญฉลองทางขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพ หลวงศรีประกาศ และพลตรี เจ้าแก้วนวรัฐ ได้เข้ากราบครูบาเจ้าศรีวิชัยที่วัดพระสิงห์

                ขอให้ท่านช่วยจัดการอุปสมบทให้หนานปี (ครูบาอภิชัยขาวปี) ที่ทางการสั่งห้ามไม่ให้อุปสมบทอีก  ในครั้งแรกครูบาเจ้าศรีวิชัยเองก็รู้สึกกริ่งเกรงว่า จะเกิดความขัดแย้งกับส่วนกลาง ซึ่งคุกรุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

                ทว่า หลวงศรีประกาศ พร้อมกับ พลตรี เจ้าแก้วนวรัฐ ให้คำรับรองอย่างแน่นหนักว่า "หากเกิดเรื่องใดๆ ขึ้นก็ตาม จะช่วยเหลือ"

                ครูบาเจ้าศรีวิชัยจึงตัดสินใจจัดการอุปสมบทให้ครูบาอภิชัยขาวปี..........

                นี่แหละ เป็นเหตุทำให้ครูบาเจ้า ต้องอธิกรณ์ครั้งที่ ๖ เพิ่มอีกกระทง ฐานไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ แต่ทำหน้าที่อุปัชฌาย์ ทั้งที่ห้ามแล้ว

                เล่าขานสืบต่อกันมาว่า ในระหว่างดำเนินคดี ครูบาเจ้าเชิญหลวงศรีประกาศ และพลตรี เจ้าแก้วนวรัฐ           มารับรองและชี้แจง ถึงเหตุการบวชให้ครูบาอภิชัยขาวปี

                แต่ปรากฏว่า ทั้ง ๒ ผู้ใหญ่ ที่เคยรับปากมั่นเหมาะ "หากเกิดเรื่องใดขึ้นก็ตาม จะช่วยเหลือ"

                หายจ้อย ไม่ยอมไปเป็นพยานให้ตามที่พูด!

                นี่แหละ......

                เมื่อพ้นอธิกรณ์ โดยท่านไม่มีความผิดแล้ว ครูบาเจ้าศรีวิชัย จึงกรวดน้ำคว่ำขันกับเมืองเชียงใหม่  พร้อมลั่นวาจา

                "ตราบที่น้ำปิงไม่ไหลย้อนกลับ จะไม่ขอไปเหยียบนครเชียงใหม่"

                ท่านกลับลำพูนถิ่นเกิด และละสังขารที่บ้านเกิดคือ "วัดบ้านปาง" ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๙ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เคยเสด็จฯ ไปที่วัดเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘

                และ....พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ครั้งทรงเป็น "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร"

                เสด็จฯ แทนพระองค์ ไปทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ทรงยกฉัตรทองคำ พิพิธภัณฑ์ และทรงเปิดป้ายพิพิธภัณฑ์ครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบ้านปาง เมื่อ ๑๘ มีนาคม ๒๕๓๗. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"