ปลุกชูเอกลักษณ์ไทย เจ้าภาพ‘อาเซียนซัมมิต’/ตร.17,000นายดูแลเข้ม


เพิ่มเพื่อน    

 ผู้นำอาเซียนทยอยเดินทางมาถึงไทยร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 แล้ว “ประยุทธ์” ปลุกคนไทยแสดงศักยภาพเจ้าบ้าน พร้อมโชว์เอกลักษณ์ไทย 3 อย่างที่โดดเด่น ทั้ง “ยิ้มสยาม-อาหาร-บ้านเมืองสวยงามที่มีพระมหากษัตริย์” เพจไทยคู่ฟ้าเปิดเมนูอาหาร 4 คอร์สรับผู้ร่วมประชุม สะท้อนทุกภูมิภาค “บิ๊กป้อม” ลั่นพร้อมเต็มที่การข่าวไม่มีสิ่งผิดปกติ ตำรวจระดม 17,000 นายรองรับ   

    เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน เริ่มมีความคึกคักมากขึ้นในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยผู้นำประเทศต่างๆ ได้ทยอยเดินทางมาถึงไทยแล้ว โดยเชคคาหลิด บิน อัลเหม็ด บิน โมฮัมหมัด อัล คอลิฟะห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน และคณะ เป็นผู้นำประเทศแรกที่เดินทางมาถึง ซึ่งบาห์เรนและไทยจะมีพิธีลงนามภาคยานุวัติสารสำหรับการเข้าเป็นอัครภาคีสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อขยายการค้าและการลงทุนเข้าสู่ประเทศในแถบอาเซียน
    ส่วนผู้นำประเทศอาเซียนนั้น ตุน ดร.มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีแห่งมาเลเซียและคู่สมรส เดินทางถึงกรุงเทพฯ เป็นคณะแรก โดยมีนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคู่สมรส เป็นผู้ให้การต้อนรับ ต่อมาที่ท่าอากาศยานทหาร 2 ดอนเมือง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ให้การต้อนรับนางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐของเมียนมา 
ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีบรูไน นายกรัฐมนตรีเวียดนาม และประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ จะเดินทางมาถึงภายในคืนวันที่ 1 พ.ย.นี้
ในเวลา 15.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวผ่านเพจไทยคู่ฟ้าในช่วง Government weekly EP.12 ช่วง PM Talk ซึ่งเป็นการพูดคุยระหว่างนายกฯ กับน้องเอเซีย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชินี และน้องวิน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ถึงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 โดยนายกฯ กล่าวว่า อยากให้ทุกคนภูมิใจที่เราจะได้แสดงศักยภาพให้ผู้นำประเทศต่างๆ ได้มาเห็นทั้งวิสัยทัศน์ การทำงาน และนโยบายรัฐบาล ซึ่งเราต้องทำความเข้าใจร่วมกัน เพื่อเดินไปด้วยกันในอาเซียน รวมถึงต้องสร้างความตระหนักในประชาคมอาเซียน เพราะเราแก้ปัญหาตามลำพังไม่ได้ อย่างการค้าการลงทุน ต้องเดินหน้าไปพร้อมกัน ขณะที่การประชุมครั้งนี้เน้นการประชุมสีเขียว เพื่อเป็นตัวอย่างในการรักษาสิ่งแวดล้อมที่เน้นใช้วัสดุเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 
โชว์ 3 เอกลักษณ์ไทย
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สำหรับเอกลักษณ์ไทย 3 อย่างที่โดดเด่น และได้รับการชื่นชมจากนานาประเทศคือ ยิ้มสยาม ต้องเป็นยิ้มกว้างๆ ยิ้มแบบซื่อสัตย์ เพื่อให้เขาเชื่อมั่น รวมถึงเอกลักษณ์ด้านอาหารไทยและบ้านเมืองที่สวยงาม ขออย่าทำลายกันตรงนี้ พร้อมต้องรักษาระเบียบ ที่วันนี้ทำอย่างไรให้ผู้นำประเทศและตัวแทนได้เห็นแบบอย่างความเป็นเจ้าบ้านที่ดี และต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์ให้ได้ จะได้รู้ว่าเราเป็นคนไทย ต่อสู้อย่างไรมา สมัยก่อน พระมหากษัตริย์ทรงทำอะไรไว้บ้าง เหล่านั้นเป็นความภาคภูมิใจ ที่เราจะต้องรักษา สานต่อ เราทำลายของเหล่านี้ไม่ได้ เพราะถ้าเราไม่รู้ว่าเรามาจากไหน จะรักประเทศไทยได้อย่างไร ความภูมิใจก็จะไม่เกิด และต้องสนใจพัฒนาตัวเองไม่หยุดนิ่ง 
“ทุกคนก็ต้องรู้ว่ารัฐบาลทำอะไรไปแล้วบ้าง เพื่อประโยชน์ของพวกเราทุกคน บางทีไม่รู้ บางทีไม่สนใจ ซึ่งรัฐบาลต้องพยายามเพิ่มขึ้นให้มาก เพื่อสร้างการเรียนรู้ และเราคือคนไทยด้วยกัน จะต้องรักประเทศไทย รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และรักประชาชน จะทิ้งใครไว้ข้างหลังไม่ได้ ต้องเข้มแข็งไปด้วยกัน” นายกฯ ระบุ
    ก่อนหน้านี้ เพจเฟซบุ๊กไทยคู่ฟ้าได้เผยแพร่เมนูอาหารในงานกาลาดินเนอร์สำหรับผู้นำที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 ซึ่งเชฟชุมพล แจ้งไพร รังสรรค์เมนูจากวัตถุดิบภายในประเทศอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภูมิภาคของไทย มีทั้งสิ้น 4 คอร์ส ประกอบด้วย 1.เรียกรส เสิร์ฟเมนูหมี่กรอบ กระทงทอง ไก่เบตงย่างกอและ ทอดมันปลากรายปากน้ำโพ ผัดไทย ยำทวายโบราณไก่บ้าน ผักออร์แกนิก 9 อย่างจาก จ.เชียงใหม่ ในถ้วยชามสังคโลก 2.รุ่มรส เสิร์ฟเมนูยำกุ้งแม่น้ำเจ้าพระยา ในเครื่องเบญจรงค์ลายเทพพนมของอยุธยา 3.ร่ำรส เสิร์ฟเมนูปลากะพงย่างซอสกับหน่อไม้ฝรั่งจาก อ.ดอนตูม จ.นครปฐม คู่กับข้าวไทย 4 ชนิด 4 สี จาก 4 ภาค แกงเขียวหวานเนื้อคารูบิของโคราชวากิว หลนปูบางตะบูน จ.สมุทรสงคราม แนมกับไข่เค็มไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ปลาช่อนสิงห์บุรีแดดเดียวพร้อมผัก ในเครื่องเบญจรงค์ลายก้านขดน้ำทอง และ 4.รื่นรส เสิร์ฟเมนูของหวานโดยใช้กะทิจากเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมด้วยผลไม้ไทย และขนมไทยโบราณหลายชนิด ในเครื่องเบญจรงค์ลายจักรี
    สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยในการประชุมนั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ย้ำว่าไทยมีความพร้อมเต็มที่ ไม่มีอะไรน่าห่วง และไม่มีการข่าวพบสิ่งผิดปกติใดๆ  
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวในเรื่องนี้ว่า ได้ใช้กำลังพลกว่า 17,000 นาย ในการดูแล  มีความพร้อมทุกด้าน โดยมีการประชุมซักซ้อมแผนเผชิญเหตุเสมือนจริงในสถานการณ์ต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยมี พล.ต.อ.สุวัตน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.)  และ พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก โดยใช้ศูนย์ปฏิบัติการ สตช.เป็นศูนย์กลางติดตามสถานการณ์ด้านการข่าวตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งยังไม่พบสิ่งบอกเหตุผิดปกติแต่อย่างใด 
“ได้ย้ำให้ตำรวจทุกหน่วยคุมเข้มตั้งแต่การตรวจคัดกรองบุคคลเดินทางเข้า-ออกประเทศในช่วงการประชุม ไปจนถึงการจัดกำลังและขบวนรถดูแลความปลอดภัยผู้นำประเทศที่จะเข้าร่วมประชุม เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด หรือการเคลื่อนไหวที่ทำลายบรรยากาศของการประชุมอย่างเด็ดขาด” พ.ต.อ.กฤษณะระบุ
    รองโฆษก ตร.เผยอีกว่า ผู้แทนจากประเทศต่างๆ เริ่มทยอยเดินทางเข้าประเทศแล้ว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจราจรในหลายเส้นทาง โดยเฉพาะช่วงการประชุม ซึ่งกองบังคับการตำรวจจราจร ได้แจ้งประชาสัมพันธ์ แนะนำการใช้เส้นทาง โดยเฉพาะทางด่วน และช่วงเวลาที่อาจได้รับผลกระทบ ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเส้นทางได้ทางสายด่วน 1197 หรือ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับความพร้อมภายในศูนย์ประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ได้เปิดศูนย์สื่อมวลชนภายในอาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยสื่อหลายสำนักทั้งไทยและต่างชาติทยอยมาติดตามทำข่าวการประชุม โดยมาตรการรักษาความปลอดภัยโดยรอบพื้นที่จัดการประชุมเป็นไปอย่างเข้มงวด รถยนต์และบุคคลที่จะผ่านเข้า-ออกต้องลงทะเบียนและมีบัตรแสดงตัวตนชัดเจน รวมถึงตรวจวัตถุต้องสงสัย
ไทย-บาห์เรนชื่นมื่น
    ส่วนที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า เชคคาหลิด บิน อาเหม็ด บิน โมฮัมเหม็ด อัล คอลิฟะห์ รมต.การต่างประเทศบาห์เรน เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งนายกฯ กล่าวต้อนรับ และชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับบาห์เรนที่มีความใกล้ชิดและครอบคลุมในทุกระดับ ทั้งระดับรัฐบาล ภาคเอกชน หรือประชาชน และขอฝากความระลึกถึง ถวายสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน นายกฯ บาห์เรน และมกุฎราชกุมารแห่งบาห์เรน ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญต่อบาห์เรนในฐานะมิตรประเทศที่สำคัญในภูมิภาคตะวันออกกลางและโลกมุสลิม พร้อมมุ่งมั่นที่จะผลักดันความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกันให้ครอบคลุมและเกิดผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น ตลอดจนยินดีที่บาห์เรนได้เข้าเป็นอัครภาคีของสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) ในช่วงที่ไทยเป็นประธานอาเซียน
    รมว.กต.ได้ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน นายกฯ บาห์เรน และมกุฎราชกุมารแห่งบาห์เรน ได้ฝากความปรารถนาดีมายังนายกฯ เช่นกัน ขอบคุณที่ไทยเชิญให้บาห์เรนเข้าเป็นอัครภาคีของสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมยืนยันบาห์เรนให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับไทยในทุกระดับ ประสงค์ให้ไทยเป็นประตูสำคัญสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งทางด้านการค้าและการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการเมืองกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ 
    ด้านนางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ รองหัวหน้าพรรค พท. กล่าวว่า ในโอกาสที่ไทยจัดประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ควรแสดงภาวะความเป็นผู้นำให้สหรัฐและประเทศต่างๆ ในโลกได้เห็นศักยภาพของไทยและภูมิภาคอาเซียน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 4 พ.ย. ที่สหรัฐอเมริกาจะประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ ที่จะเป็นโอกาสดีที่สหรัฐจะได้รับรู้เจตนารมณ์ของคนไทยเกือบ 70 ล้านคน เพื่อนำไปสู่การทบทวนและคืนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ให้ไทย 
“รัฐบาลไทยโดยกระทรวงแรงงานต้องอธิบายแจกแจงสภาพความเป็นจริง ว่าแรงงานต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยมีสิทธิเสรีภาพต่างๆ อย่างไรบ้าง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างไร การที่แรงงานเหล่านี้ไม่ได้ตั้งสหภาพแรงงานก็ไม่เกิดผลกระทบหรือไม่เสียสิทธิประโยชน์ขัดต่อมาตรฐานแรงงานในระดับสากลอย่างไรบ้าง แรงงานต่างด้าวต่างพึงพอใจอย่างไรที่ได้ทำงานในไทย เมื่อสภาพความเป็นจริงถูกเผยแพร่ออกไป ก็น่าจะเป็นความชอบธรรมที่ไทยไม่ควรจะถูกสหรัฐตัดจีเอสพี เพราะการตัดจีเอสพีจะทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกสินค้าของไทยได้รับความเดือดร้อน และการตัดจีเอสพีไทยจะมีผลเสียกับสหรัฐมากกว่าผลดี” นางลดาวัลลิ์ระบุ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"