
นิด้าโพลชี้ประชาชนเมิน "ชิมช้อปใช้" เหตุกติกายุ่งยาก-เปลืองงบประมาณ "อุตตม" ยันกระตุ้นฐานรากได้ตรงเป้าที่สุด ขอเวลาประเมินก่อนดันเฟส 3 พท.ขย่มรัฐบาลดีแต่แจกเงิน ไม่ทำให้คนกินดีอยู่ดียั่งยืน "หญิงหน่อย" ซัด "บิ๊กตู่" โทษ ศก.โลกแล้วจะมี รบ.ไว้ทำไม
เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชนเรื่อง “ชิมช้อปใช้ เฟส 2 ถูกใจหรือไม่” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 30 ต.ค.-1 พ.ย.2562 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,266 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับโครงการ “ชิมช้อปใช้” เฟสที่ 2 สนับสนุนวงเงินคนละ 1,000 บาท ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”
จากการสำรวจเมื่อถามประชาชนถึงการลงทะเบียนโครงการ “ชิมช้อปใช้” เฟส 2 พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 39.97 ระบุว่าจะไม่ลงทะเบียน เพราะระบบและขั้นตอนการลงทะเบียนที่ยุ่งยากซับซ้อน โทรศัพท์ที่ใช้ไม่รองรับแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ขณะที่บางส่วนระบุว่าไม่มีเวลา/ไม่สะดวกเดินทางไปใช้จังหวัดอื่น และไม่สนใจ/ไม่ชอบโครงการนี้ รองลงมา ร้อยละ 32.54 ลงทะเบียนไม่ทัน/ไม่สำเร็จ เพราะการเข้าลงทะเบียนมีระยะเวลานาน ยุ่งยาก ขณะที่บางส่วนระบุว่าขั้นตอนการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ไม่ค่อยเสถียร ถ่ายรูปไม่ผ่านทำให้ลงทะเบียนไม่สำเร็จ, ร้อยละ 22.20 ได้ลงทะเบียนเฟส 1 แล้ว และร้อยละ 5.29 ได้ลงทะเบียนเฟส 2 แล้ว ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับผลโครงการ “ชิมช้อปใช้” เฟส 1 เมื่อวันที่ 6 ต.ค.62 พบว่า ร้อยละ 58.37 จะไม่ลงทะเบียน รองลงมา ร้อยละ 25.61 ได้ลงทะเบียนแล้ว และร้อยละ 16.02 กำลังจะลงทะเบียน
ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อโครงการ “ชิมช้อปใช้” พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 26.70 ระบุว่าระบบและกติกาการใช้จ่ายยุ่งยากซับซ้อนเกินไป รองลงมา ร้อยละ 26.62 เปลืองงบประมาณ ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง, ร้อยละ 26.15 ประชาชนได้ประโยชน์จากโครงการนี้, ร้อยละ 24.33 เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดี, ร้อยละ 19.43 เป็นมาตรการเลือกปฏิบัติเฉพาะกลุ่ม, ร้อยละ 15.32 พ่อค้า นายทุนได้ประโยชน์จากโครงการนี้, ร้อยละ 8.85 เป็นโครงการทำให้คนได้ออกไปเที่ยว ชิมช้อปใช้ กับครอบครัว, ร้อยละ 4.19 เป็นโครงการประชานิยม หาเสียงกับชนชั้นกลาง, ร้อยละ 2.92 สร้างความเท่าเทียมกัน เมื่อคนจนได้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนชั้นกลางก็ได้ “ชิมช้อปใช้”
ในขณะที่ผลโครงการ “ชิมช้อปใช้” เฟส 1 เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2562 พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 27.36 ระบุว่าเปลืองงบประมาณ ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง รองลงมา ร้อยละ 27.28 เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดี, ร้อยละ 25.54 ระบบและกติกา การใช้จ่ายยุ่งยากซับซ้อนเกินไป, ร้อยละ 19.59 ประชาชนได้ประโยชน์จากโครงการนี้, ร้อยละ 13.80 พ่อค้า นายทุนได้ประโยชน์จากโครงการนี้, ร้อยละ 13.72 เป็นมาตรการเลือกปฏิบัติเฉพาะกลุ่ม, ร้อยละ 8.96 เป็นโครงการทำให้คนได้ออกไปเที่ยว ชิมช้อปใช้ กับครอบครัว, ร้อยละ 8.09 เป็นโครงการประชานิยม หาเสียงกับชนชั้นกลาง, ร้อยละ 3.17 ระบบของร้านค้า/ห้าง ยังไม่มีประสิทธิภาพทำให้เกิดปัญหาการใช้เงินจากโครงการ, ร้อยละ 2.78 สร้างความเท่าเทียมกัน เมื่อคนจนได้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนชั้นกลางก็ได้ “ชิมช้อปใช้”
เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อภาพรวมโครงการ “ชิมช้อปใช้” พบว่า ร้อยละ 22.43 ระบุว่าเห็นด้วยมาก, ร้อยละ 25.51 ค่อนข้างเห็นด้วย, ร้อยละ 19.67 ไม่ค่อยเห็นด้วย, ร้อยละ 30.97 ไม่เห็นด้วยเลย และร้อยละ 1.42 ไม่ตอบ/ไม่สนใจ สำหรับผลโครงการ “ชิมช้อปใช้” เฟส 1 เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2562 พบว่า ร้อยละ 22.60 ระบุว่าเห็นด้วยมาก, ร้อยละ 25.62 ค่อนข้างเห็นด้วย, ร้อยละ 21.09 ไม่ค่อยเห็นด้วย, ร้อยละ 28.95 ไม่เห็นด้วยเลย และร้อยละ 1.74 ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
แนะปรับปรุง"ชิมช้อปใช้"
ท้ายที่สุด เมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการดำเนินโครงการ “ชิมช้อปใช้” ของรัฐบาล พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 40.36 ระบุว่าปรับปรุงโครงการให้ดีขึ้น เช่น ปรับปรุงระบบและขั้นตอนการลงทะเบียนให้ง่ายขึ้น ผู้สูงอายุก็สามารถทำเองได้ด้วยตนเอง หรือมีการลงทะเบียนที่ธนาคารกรุงไทย มีช่วงเวลาในการลงทะเบียนที่ชัดเจน ให้สิทธิกับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ใช้สิทธิได้ทุกที่ ทุกจังหวัด และอยากให้เพิ่มวงเงิน เพิ่มร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ รองลงมา ร้อยละ 33.65 ยกเลิกโครงการ, ร้อยละ 20.62 ดำเนินโครงการต่อไป และร้อยละ 5.37 ไม่ตอบ/ไม่สนใจ ในขณะที่ผลโครงการ “ชิมช้อปใช้” เฟส 1 เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2562 พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 42.19 ระบุว่าปรับปรุงโครงการให้ดีขึ้น รองลงมา ร้อยละ 34.10 ระบุว่ายกเลิกโครงการ, ร้อยละ 19.74 ดำเนินโครงการต่อไป และร้อยละ 3.97 ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า มาตรการชิมช้อปใช้ เฟสที่ 2 ซึ่งเพิ่งปิดรับสมัครผู้รับสิทธิไป 3 ล้านคน รวมกับเฟสที่ 1 มีผู้ได้รับสิทธิ 13 ล้านคนนั้น ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก และมีการถามไถ่มาว่ากระทรวงการคลังจะทำเฟส 3 ต่อหรือไม่ ดังนั้นขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า ปัจจุบันทั้ง 2 เฟสยังอยู่ระหว่างทางที่บรรดาผู้ได้รับสิทธิจะใช้เงินผ่านแอปฯ "เป๋าตัง" ซึ่งกระทรวงการคลังต้องการที่จะประเมินผลการดำเนินงานอีกระยะ เนื่องจากตามที่ได้เรียนทุกท่านไว้ว่า มาตรการนี้ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างตรงเป้าที่สุด หากมีความคืบหน้าอย่างไรจะมาบอกกล่าวกันต่อไป
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรุงเทพโพลล์เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน ส่วนใหญ่ชื่นชอบโครงการ "ชิมช้อปใช้" เฟส 1 และ 2 มากที่สุดในไตรมาสแรก รองลงมาคือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ผลการสำรวจต่างๆ มีนัยสำคัญ เป็นตัวชี้วัดผลงาน สะท้อนว่าโครงการดังกล่าวเป็นที่ยอมรับของประชาชน จึงได้รับความนิยมจากประชาชน และประชาชนสนับสนุน ดังนั้นไม่ว่าจะโจมตีอย่างไรก็ต้านทานกระแสความต้องการของประชาชนไม่ได้ ในส่วนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนั้น เป็นการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพของประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ตรงจุด
"พรรคพลังประชารัฐเชื่อว่าเรามาถูกทางแล้วในการเดินยุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันเสียงตอบรับของประชาชนในวันนี้กลายเป็นกระจกสะท้อนกลับไปยังฝ่ายค้านให้หันกลับมาทบทวนบทบาทของตนเอง หากยังมัวเล่นการเมืองหรือเล่นเกมเพื่อหวังโค่นล้มรัฐบาลเพียงอย่างเดียวนั้น นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์กับประชานแล้ว กระแสอาจตีกลับไปยังฝ่ายค้านด้วย" น.ส.ทิพานันระบุ
พท.ขย่มรบ.ดีแต่แจกเงิน
ด้าน น.ส.สรัสนันท์ อรรณนพพร ส.ส.ขอนแก่น และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ผลโพลดังกล่าวสะท้อนถึงความอ่อนแอทางการเงินของประชาชนอย่างชัดเจนที่ต้องพึ่งเงินสนับสนุนจากภาครัฐ เพราะไม่มีรายรับที่มั่นคง จึงขอสอบถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลเศรษฐกิจว่า เงิน 1,000 บาท รัฐบาลต้องแจกอีกกี่ครั้ง ต้องอัดงบประมาณอีกกี่หมื่นแสนล้าน ประชาชนถึงจะกินดีอยู่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน และแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ นอกจากแจกเงินแล้วคืออะไร นอกจากนี้ รัฐบาลนี้ยังเพิ่มรายจ่ายให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง กรมสรรพากรได้มีการขยายฐานการจัดเก็บภาษีและประเภทภาษีต่างๆ เช่น ภาษีของเค็ม-หวาน-มัน ภาษีรถบิ๊กไบค์ และแนวคิดที่จะเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเพิ่มรายรับให้รัฐบาล สุดท้ายภาระนี้ก็มาตกที่ประชาชนอยู่ดี
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่าไม่ได้ใช้คำว่าเศรษฐกิจถดถอย แต่เป็นเศรษฐกิจเติบโตช้าลง ว่าปัญหาเศรษฐกิจไม่สามารถแก้ได้โดยการใช้คำเลี่ยง และที่ผ่านมานายกฯ ก็ใช้คำให้เกิดความสับสน ตอนตัดจีเอสพีก็บอกเพราะเศรษฐกิจเราโตไว และมักบอกว่าปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาที่นักการเมืองสร้างมาบ้าง หรือเกิดจากเศรษฐกิจโลกบ้าง แต่ไม่เคยยอมรับว่าเรามีปัญหาเศรษฐกิจจริง ยอมรับหรือไม่ว่านโยบาย 5 ปีกว่าที่ผ่านมาของรัฐบาล คสช.ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำสูง ไปอุ้มนายทุนขนาดใหญ่ แต่ประชาชนตัวเล็กๆ เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน และเอสเอ็มอีถูกทอดทิ้ง วันนี้เราไม่เห็นภาพหัวหน้าทีมเศรษฐกิจคือนายกฯ หยิบยกปัญหาเศรษฐกิจและระดมกำลังแก้ปัญหาอย่างจริง
“รัฐบาลชอบบอกว่าทำอะไรไม่ได้ มันเป็นเพราะเศรษฐกิจโลก แล้วอย่างนั้นเราจะมีรัฐบาลไว้ทำไม ที่บอกว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่โต 2% แต่มันโตเฉพาะทุนขนาดใหญ่ หรือบางครั้งมันอาจจะลดการเติบโต แต่พวกเขาก็ไม่สะเทือน แต่คนตัวเล็กทั้งประเทศตายหมดแล้ว”
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวตอนหนึ่งในการบรรยายพิเศษ "เศรษฐกิจซบเซาและซึมยาว SME ไทยจะรับมืออย่างไร?" ว่าการยกเลิกการผูกขาดเป็นเรื่องสำคัญมาก ประเทศที่พัฒนาแล้วย่อมมีกลุ่มทุนใหญ่ระดับประเทศและต้องพากลุ่มทุนเล็กขึ้นมาด้วย โดยกลุ่มทุนใหญ่จะต้องไปแข่งขันในระดับโลกไปพร้อมกันทั้งอุตสาหกรรม แต่ของไทยไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเป็นการใช้อาศัยความใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจเพื่อสร้างกฎระเบียบบางประการ กลุ่มทุนใหญ่ในไทยไม่ได้เล่นบทบาทในระดับโลกที่คววรจะเล่น ไม่ใช่สะสมทุนในประเทศด้วยการผูกขาดและการใช้เครือข่ายอำนาจรัฐและเบียดเบียนผู้ประกอบการขนาดเล็กในประเทศ ดังนั้นรัฐบาลต้องเข้ามาแก้ไขตรงนี้เพื่อให้อุตสาหกรรมของประเทศเติบโตและเกิดการสร้างงานไปได้.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |