คุก37ปี'ไอ้โก้'ฆ่าไฮโซเชอร์รี่ตีกะโหลกแตก


เพิ่มเพื่อน    


    ศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต "ไอ้โก้" ฆ่าโหดไฮโซเชอร์รี่ ปรานีลดเหลือ 37 ปี 4 เดือน ใช้ไม้เบสบอลฟาดหัวจนกะโหลกแตก ก่อนหนีเข้าบ่อนเขมร พ่อผู้ตายยันไม่ให้อภัย จะอุทธรณ์ให้ได้รับโทษหนักกว่านี้
    เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้ ที่ห้องพิจารณา 907 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีฆ่าไฮโซเชอร์รี่ หมายเลขดำ อ.3493/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอัศยา หรือโก้ ชัยภา อายุ 34 ปีเศษ ชาว จ.ชัยภูมิ เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, ทำให้เสียหายซึ่งเอกสารของผู้อื่น ม.188, ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อประโยชน์ในการเบิกถอนเงินสดหรือชำระสินค้า ม.269/5, 269/7 และลักทรัพย์ในเวลากลางคืน
    อัยการโจทก์ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 22 พ.ย.2561 ระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 26-27 ก.ค.2561 เวลากลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยใช้ไม้เบสบอลเหล็กขนาดยาว 70 เซนติเมตร เป็นอาวุธ ตีที่ศีรษะ ใบหน้า ลำตัว และสะบักขวาของ น.ส.ธิติมา หรือไฮโซเชอร์รี่ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ อายุ 39 ปี นักธุรกิจสาวด้านอสังหาริมทรัพย์ แฟนสาว ที่อวัยวะสำคัญหลายครั้ง ทำให้ น.ส.ธิติมามีบาดแผลที่ศีรษะ ใบหน้า กราม สะบักขวา กะโหลกศีรษะแตก เลือดคั่งในสมอง กระดูกซี่โครงด้านขวาหักจนถึงแก่ความตาย หลังก่อเหตุจำเลยได้ลักทรัพย์ของผู้ตาย เป็นรถยนต์เบนซ์, โทรศัพท์มือถือ, เครื่องประดับ กระเป๋าแบรนด์เนมของผู้ตายไป มูลค่า 1,080,000 บาท รวมทั้งเอกสารบัตรเดบิตธนาคารออมสินของผู้ตายไปใช้ประโยชน์ในการเบิกถอนเงินหรือชำระสินค้าบริการอื่น หลบหนีไปประเทศกัมพูชา เหตุเกิดในห้องพักโรงแรมแห่งหนึ่งย่านซอยประดิษฐ์มนูธรรม 19 แขวง-เขตลาดพร้าว กทม. โดยจำเลยให้การรับสารภาพ
    วันนี้ศาลเบิกตัวนายอัศยา จำเลยจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาฟังคำพิพากษา ขณะที่นายอำนวย วิชัยโชติ บิดาของไฮโซเชอร์รี่ ในฐานะโจทก์ร่วม ก็เดินทางมาฟังคำพิพากษาเช่นกัน
    ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบแล้ว จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้อื่นหรือไม่ เห็นว่าจำเลยใช้ไม้เบสบอล ซึ่งเป็นท่อนเหล็กขนาดใหญ่ตีศีรษะผู้ตาย เป็นอวัยวะสำคัญ จนทำให้กะโหลกศีรษะแตกหลายเสี่ยง ย่อมเล็งเห็นผลมีเจตนาฆ่า ส่วนที่จำเลยอ้างเป็นการบันดาลโทสะ เนื่องจากผู้ตายด่าทอและพาดพิงบิดามารดาจำเลย และที่ผ่านมามีปากเสียงทะเลาะวิวาทบ่อยครั้ง เห็นว่าการบันดาลโทสะต้องเกิดจากการกระทำที่ข่มเหงอย่างร้ายแรงหรือไม่เป็นธรรม ซึ่งในวันเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายอยู่ในห้องด้วยกัน 3 ชั่วโมง เชื่อว่าไม่น่ามีปากเสียงทันทีที่เข้าห้องพักตามที่จำเลยอ้าง กรณีไม่อาจถือว่าผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรง โดยสาเหตุน่าจะมาจากความหึงหวง หรือจำเลยขอเงินผู้ตายไปชำระหนี้พนัน เพราะหลังเกิดเหตุจำเลยหลบหนีเข้าบ่อนประเทศกัมพูชา การกระทำของจำเลยไม่ใช่เหตุบันดาลโทสะ ส่วนที่จำเลยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบไปซื้อสินค้าและลักทรัพย์ เมื่อจำเลยถูกจับกุมพบมีทรัพย์สินของผู้ตายหลายรายการ และจำเลยก็ให้การว่านำเงินไปใช้จ่ายที่ประเทศกัมพูชา ถือเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง
    พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุกตลอดชีวิต, ลักทรัพย์ จำคุก 3 ปี และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐาน แต่การนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุก 33 ปี 4 เดือน, ลักทรัพย์ จำคุก 2 ปี และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ จำคุก 2 ปี รวมจำคุกจำเลย 37 ปี 4 เดือน พร้อมริบของกลาง และให้คืนทรัพย์สินแก่โจทก์ร่วม
    ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น ขณะเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวนายอัศยา จำเลยออกจากห้องพิจารณากลับไปคุมขัง นายอัศยาได้ก้มลงกราบ 1 ครั้ง ขอขมานายอำนวย บิดาของไฮโซเชอร์รี่ที่เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วย โดยนายอำนวยมีท่าทีนิ่งเฉย ซึ่งต่อมานายอำนวยเปิดเผยถึงความรู้สึกว่า พอใจในคำพิพากษาระดับหนึ่ง แต่อยากให้คนร้ายได้รับโทษหนักกว่านี้ อยากจะอุทธรณ์คดีต่อไป ไม่ให้อภัย เป็นการกระทำที่เกินไป ส่วนความเป็นอยู่ของครอบครัวนั้น ที่ผ่านมาก็พยายามทำใจกับเรื่องที่เกิดมาแล้ว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"