‘ทอน’เปลี่ยนโลก! ชนชั้นสูงส้มหวานทอล์ก'ปิยบุตร'ตัดตอนแค่ยุคหลังทักษิณ


เพิ่มเพื่อน    

 ปลุกไม่ขึ้น เวทีอยู่ไม่เป็นระดมส้มหวาน 2 พันฟังชนชั้นสูงอนาคตใหม่ "ทอน" และผองเพื่อนทอล์กโชว์ในบรรยากาศกิจกรรมนักศึกษา "ปิยบุตร" เลกเชอร์อยู่ไม่เป็น ตัดตอนประวัติศาสตร์นับถอยหลังความขัดแย้งแค่ 13 ปี เขี่ยยุคทักษิณโกงออกจากสารบบ ขณะที่ "ธนาธร" โต้ปมชังชาติ ประดิษฐ์คำพูดสวยหรูหัวใจของเราถูกโบยตีด้วยความอยุติธรรมไปแล้ว ส่วนวงเสวนาอยู่เป็นอัดส้มหวานพวกไดโนเสาร์ 

     เมื่อวันที่ 16 พ.ย. เวลา 12.00 น. ที่ชั้น 6 เจเจ มอลล์ ถนน กำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร พรรคอนาคตใหม่จัดกิจกรรม “อยู่ไม่ เป็น” โดยภายในงานมีนิทรรศการและบูธนำเสนองานของพรรค ซึ่งเป็นประเด็นที่จะผลักดันต่อสภาผู้แทนราษฎรในรูปแบบอยู่ไม่เป็น ประกอบด้วย 5 บูธหลัก อาทิ บูธ "ท.ทหาร ทันสมัย" สมัครใจไม่บังคับ นำเสนอ 8 มาตรการสร้างกองทัพทันสมัย, บูธ "อยู่ไม่เป็น เพราะแรงงานอยู่ไม่ได้" นำเสนอแนวทางป้องกันสถานประกอบการละเมิดสิทธิแรงงาน
     บูธ "LGBTQI" นำเสนอการแก้กฎหมายสมรส ระหว่างชาย-ชาย หญิง-หญิง และอีก 1 บูธสำคัญ "แอพปลิเคชัน พรรคอนาคตใหม่" ที่จะดึงคนที่เข้ามาร่วมงานโหลดแอปพลิเคชัน เพื่อส่งเรื่องร้องเรียนต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชันมายังพรรคอนาคตใหม่ เพื่อรวบรวมปัญหาและส่งสมาชิกพรรคในแต่ละพื้นที่เข้าไปตรวจสอบ และเก็บข้อมูล ผลักดันไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
    โดยประชาชนเดินทางมาร่วมงานกว่า 1,800 คน เนื่องจากทางพรรคอนาคตใหม่มีการเปิดให้ลงทะเบียนออนไลน์ เพื่อแลกรับของที่ระลึก และเปิดให้ลงทะเบียนบริเวณหน้างาน พร้อมทั้งเปิดรับสมัครสมาชิกพรรคบริเวณด้านหน้างานอีกด้วย
    กิจกรรมที่จัดขึ้นส่วนใหญ่เป็นประเด็นที่พรรคเคยหาเสียงไว้ ก่อนการเลือกตั้ง และจะผลักดันเข้าสู่สภา โดยนอกจากการนำเสนอประเด็นต่างๆ ในแต่ละบูธยังมีการจัดกิจกรรมให้ผู้ที่มาร่วมงานได้ร่วมสนุกก่อนงานจะเริ่ม และนอกจากนี้ยังมีการขายสินค้าพรีเมียมของพรรคอนาคตใหม่ เพื่อระดมทุนนำเงินเข้าพรรคอีกด้วย
    ขณะที่บรรยากาศก่อนเริ่มงาน มีประชาชนเดินทางมาร่วมกิจกรรมในแต่ละบูธและร่วมถ่ายภาพกับ Backdrop ชื่อกิจกรรม และจุดต่างๆ ที่พรรคได้เตรียมไว้ให้ร่วมสนุก ซึ่งจุดที่คึกคักที่สุดคือการขายของที่ระลึกและของพรีเมียมของพรรค ทั้งเสื้อยืดสกรีนโลโก้พรรค แก้วกาแฟ ร่ม กระเป๋าผ้า และหมวกที่ได้รับความสนใจจากผู้ร่วมงานจำนวนมาก 
    ต่อมาเวลา 14.00 น. เปิดตัวด้วยการอภิปรายการอยู่ไม่เป็นของ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์, น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร จากนั้นจะเป็นการแสดงโชว์จาก RAPPER ศิลปิน RAD ประเทศกูมี ก่อนจะเป็นการอภิปรายของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ และอภิปรายปิดเวทีโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในเวลา 17.00 น.
        นายพิธาอภิปรายหัวข้อ “อยู่เป็นโลกไม่เปลี่ยน” ว่าถ้าพรรคอนาคตใหม่อยู่เป็น แล้วทำการเมืองแบบเดิมๆ หาเสียงแบบเก่า จะเป็นไปได้ไหมที่จะมีคนมาสนับสนุนให้พรรคมี ส.ส.กว่า 80 คน นั่นคงเป็นไปไม่ได้ มีคนสงสัยกว่าการอยู่ไม่เป็นคืออะไร ดังนั้นตนขอเสนอว่าการอยู่ไม่เป็นคือคนที่เห็นปัญหาแล้วไม่ใช่อุ้มปัญหานั้นไว้ คนที่ฟังแต่ยังไม่เชื่อ กล้าที่จะสู้กับความอยุติธรรม เข้าใจว่าโลกหมุนด้วยความหวัง ไม่ใช่หมุนด้วยความกลัว 
    "คนอยู่ไม่เป็นไม่ใช่ว่าเป็นคนชังชาติ และเราก็ไม่ได้เป็นคนคลั่งชาติ เรารักชาติพอที่จะยอมรับว่าข้อเสียของชาติว่ามีอะไร และเราพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาพวกนั้น และคนที่รักชาติก็ไม่ใช่คนที่มาชี้นิ้วใส่คนอื่นว่าไม่รักชาติ แต่คนที่รักชาติจริงคือคนที่เสียสละมากกว่า ไม่ว่าคุณจะมาจากเหนือหรือใต้ ไม่ว่าคุณจะมาจากอีสานหรือกลาง ไม่ว่าคุณจะเป็นคนชราหรือคนหนุ่มสาว ไม่ว่าคุณจะเป็นคริสต์ มุสลิม หรือเป็นพุทธ เราทุกคนต่างเข้าใจและมีความฝันเหมือนกันที่จะส่งต่อสังคมที่ดีกว่าให้แก่ลูกหลานของเรา"
ตีปี๊บคนตกงาน
     ส่วน น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า ทุกวันนี้ภาวะคนตกงานมีเป็นจำนวนมาก เปรียบเทียบกับคนที่จบปริญญาตรีทั้งห้องไม่ได้มีงานทำกันหมด ถามว่าเราเลือกงานหรือไม่ เราไม่ได้เลือกงานเลย บางคนยอมรับเงินเดือน 9,000 บาทต่อเดือน ไม่ต้องคิดเลยว่าจะมีเงินจ่ายหนี้ กยศ.หรือพอใช้จ่ายหรือไม่ อีกทั้งเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยกลางคน มนุษย์ออฟฟิศในกรุงเทพฯ อยากจะมีบ้านนั้นเป็นไปได้ยาก ราคาคอนโดมิเนียมแพงขึ้น แต่เงินเดือนไม่เพิ่มขึ้นเลย อย่างไรก็ตามรัฐบาลไม่ได้แยแสที่จะแก้ปัญหา หรือลดอำนาจผูกขาดเลย ไม่ได้ส่งเสริมสาธารณสุข ความเป็นอยู่ของประชาชน หรือแม้แต่คุณจะเสียชีวิตแล้วก็ยังไม่ได้หลุดจากธุรกิจผูกขาด เพราะธุรกิจการลอยอังคารที่มีบริการดีๆ จากกองทัพเรือ
      ด้านนายวิโรจน์กล่าวว่า ท ทหาร ภาพลักษณ์ที่เด็กๆ รู้จากหนังสือเรียน ท ทหารอดทน แต่กลับมาที่ประชาชน คือตัวอักษร ค  คนขึงขัง ทุกวันนี้ประชาชนอดทนจนจะอดทนไม่ไหวแล้ว ส่วนทหารเอะอะไล่ให้ไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน แต่ที่รู้ๆ ไม่หนักหัวใคร  ภาพลักษณ์ของทหารในจินตนาการมันสับสนและสวนทางกัน จนเราต้องตั้งคำถามว่าทำไมถึงอยากเป็นนายพล หรือเพราะคงเงินเดือนเยอะแน่ ตนไปค้นหาเงินเดือนระดับนายพลได้ 76,000 บาทต่อเดือน ถ้ารวมเงินจากเงินเดือนที่ได้หลังเกษียณอายุราชการจะได้ 35 ล้านบาท แต่พอไปส่องทรัพย์สินของนายพลแล้วมีกันถึง 100 ล้าน นี่คิดว่าบ้านก็ยืมเพื่อนอยู่ รถก็ยืมเพื่อนขับ นาฬิกาก็ยืมเพื่อนใส่
    เมื่อพูดถึงทหาร มีหนึ่งพลที่ไม่มีใครอยากเป็น คือพลทหาร ซึ่งพลทหารมีหน้าที่ของเขาคือตัดหญ้า เลี้ยงนก เลี้ยงไก่ ซักกางเกงในให้ โดยเงินเดือนเพียง 7,000 บาท เชื่อหรือไม่ทหารที่ถ้าสูญเสียแขนขาจากการสู้รบได้เงินชดเชย  500,000 บาท แล้วปลดประจำการ  พรรคอนาคตใหม่ไม่ได้อยากยกเลิกการมีทหาร แต่อยากให้เขาได้ทำหน้าที่ของเขาจริงๆ ดูแลเขาอย่างดี ไม่ให้เขาไปเป็นไพร่ทำหน้าที่รับใช้ใคร เราเชื่อว่าระบบการจับสลากเป็นทหารมันแย่คือ คนที่เขาไม่อยากเป็นต้องมาจับใจเป็น เราจึงอยากให้มีทหารที่สมัครใจเป็น และให้เงินเดือนอย่างสมศักดิ์ศรี วันนี้เราอยากมีทหารที่ทันสมัย ถ้าดูจากในหลายๆ ประเทศ การสังเกตการณ์การรบของเขาใช้โดรนแทนกำลังพลแล้ว แต่เมื่อหันมาดูกองทัพไทย วันนี้ยังเกณฑ์กำลังพลไปสังเกตการณ์อยู่ วันนี้ที่ประเทศไทยไปไหนไม่ได้คือเรายังมีระบบไพร่ การยังให้มีอภิสิทธิ์ชน ดังนั้นเราต้องเลิกความเป็นไพร่ ที่เรารู้สึกว่าเรามีขุนนางเป็นเจ้าชีวิตเรา แต่ให้เราเชื่อว่าเราเป็นเจ้าของชีวิตเรา กล้าที่จะก้าว
    จากนั้น นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่  กล่าวตอนหนึ่งว่า ถ้าอยู่เป็นโลกไม่เปลี่ยน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยทำให้พรรคอนาคตใหม่อยู่ไม่เป็น เราจึงลุกขึ้นมาต่อต้านกับสิ่งที่ไม่ยุติธรรม เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ 
    สภาพสังคมที่มีความขัดแย้งร้าวลึกมา 13 ปี และมีทีท่าว่าจะยังไม่จบ และปัญหาอื่นๆ อีกมาก อาทิ สภาพสังคมที่มีการรวมศูนย์อำนาจ สภาพสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูง สภาพสังคมที่ทหารมีอำนาจเหนือรัฐบาลพลเรือน ด้วยสภาพสังคมแบบนี้ พรรคอนาคตใหม่จึงตัดสินใจเดินหน้าต่อสู้ เพราะมั่นใจว่าจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นได้ 
    นายปิยบุตรกล่าวว่า ตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา อนาคตใหม่ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจนได้ ส.ส.มากถึง 81 คน ซึ่งได้เกินคาดกว่าที่ผู้มีอำนาจประเมินไว้ สร้างความไม่สบายใจให้กับผู้ที่มีอำนาจ ทำให้พรรคอนาคตใหม่มีคดีความต่างๆ มากมายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งขณะนี้มีคดีแล้วกว่าอีก 25 คดี โดยมีการบิดเบือนสร้างข้อหายัดเยียดความเป็นศัตรูให้กับพรรคอนาคตใหม่ กระบวนการเหล่านี้เป็นกระบวนการทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคอนาคตใหม่ให้กลายเป็นความชังชาติสร้างความขัดแย้งขึ้น 
    เขายืนยันว่า พรรคอนาคตใหม่ไม่ใช่พวกชังชาติ แต่เป็นพวกรักชาติ ที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เคารพความแตกต่างหลากหลายในชาติ ที่ต้องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และต้องการประชาธิปไตย ต้องการกฎหมายที่เป็นธรรม ไม่ใช่นำมากลั่นแกล้งผู้อื่น อีกทั้งการที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารไม่ได้หมายความว่าพรรคอนาคตใหม่เป็นกบฏ ต้องการเปลี่ยนแปลงหรือล้มล้างสถาบันฯ เพียงแต่ต้องการป้องกันไม่ทหารออกมายึดอำนาจทุก 4-6 ปี และต้องการการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง ซึ่งการปกป้องสถาบันฯ อย่างแท้จริงคือกีดกันไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแอบอ้างสถาบันฯ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำร้ายกันทางการเมือง 
หดประวัติศาสตร์เหลือ 13 ปี
    เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่กล่าวว่า ความอยู่ไม่เป็นของพรรคอนาคตใหม่ต้องการจะบอกคนที่มีอำนาจอยู่ว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปไปด้วยกัน และจัดสรรปันส่วนอย่างยุติธรรม รวมถึงถึงเวลาที่ผู้มีอำนาจตระหนักให้ดีว่าจะปล่อยให้ประเทศนี้อยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้ ต้องมองถึงความต้องการของคนในประเทศ ที่ไม่ต้องการให้สังคมไทยเป็นแบบนี้ต่อไป สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสุดโต่ง รุนแรง แต่เป็นเรื่องปกติที่นานาอารยประเทศทุกประเทศทำกัน
    "ต้องรวมตัวเพื่อทำให้ตัวเองมีอำนาจรัฐเข้าไปเปลี่ยนแปลงสังคม เพราะ 13 ปีที่ประเทศมีรอยร้าวลึกจนอาจจะเป็นแบบนี้ต่อไปอีกไม่รู้จบ และทำให้พรรคอนาคตใหม่ต้องออกมาอยู่ไม่เป็น ทั้งที่รู้ว่ากลไก รธน.60 ออกแบบมาให้เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลง แต่ความตั้งใจมุ่งมั่นพอที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ได้ เพื่อไม่ให้ประเทศเกิดรัฐประหารอีก และ รธน.เป็นของประชาชนที่ช่วยกันออกแบบอย่างแท้จริง" นายปิยบุตรกล่าว
    ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวตอนหนึ่งในงานกิจกรรม "อยู่ไม่เป็น" ว่า ตั้งแต่ที่เราเดินทางมาจากเดือน พ.ค. เป็นจำนวนวัน 570 วัน พรรคอนาคตใหม่เริ่มจากบุคคล 3 คนที่อยู่ไม่เป็น กลายเป็นผู้ร่วมจดจัดตั้ง 26 คน จากนั้นกลายเป็น 670 คนร่วมเป็นสมาชิก กลายเป็นตัวแทน 77 จังหวัด และกลายเป็นผู้สมัครทั้งเขต 474 คน จาก 474 กลายมาเป็น 6,265,950 คะแนน ต้องบอกว่าไม่มีคุณไม่มีพวกเราในวันนี้ ในวันที่เราสับสน ไม่รู้จะไปทางไหน พวกคุณยังศรัทธาเรา ดังนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ถ้าได้ยินเสียงผม พวกเราขอขอบคุณที่ช่วยผลักดันให้มาถึงจุดนี้
      ก่อนหน้าที่ผมจะเลือกเส้นทางอยู่ไม่เป็น ผมมีแต่ชีวิตที่สะดวกสบาย จัดสรรเวลาที่จะให้ครอบครัว เพื่อนฝูง และงานอดิเรก แต่วันที่เลือกมาทางนี้ มีแต่คนถากถาง บอกว่าการเมืองมันสกปรก แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราจริงใจ หนักแน่พอ เราจะเปลี่ยนแปลงโลกได้
     นายธนาธรกล่าวว่า ไม่ว่าคุณจะรวยหรือจน นับถือศาสนาคริสต์หรือพุทธ จะเป็นเพศหญิงหรือชาย ถ้าอยู่ในสังคมนี้ เราเท่ากัน เราคือประชาชนผู้ทรงศักดิ์ของประชาธิปไตย เรามีสิทธิเสรีภาพ มีสิทธิที่จะได้รับบริหารจากรัฐ มีสิทธิที่จะได้รับความยุติธรรม นั่นคือสิ่งที่เราโหยหาจากการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย อีกทั้งเราต้องการเห็นประเทศไทยที่มีดอกผลถูกกระจายไปอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่การผูกขาด เราอยากเห็นประเทศเข้มแข็ง แต่ไม่ใช่เข้มแข็งเพราะมีเรือดำน้ำ แต่เราเข้มแข็งจากการยอมรับจากนานาประเทศ เอื้อเฟื้อประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในความต้องการเช่นนี้ทำให้เขากล่าวหาว่าเราเป็นพวกรุนแรง ก้าวร้าว ชังชาติ และอยู่ไม่เป็น
    “หัวใจของเราถูกโบยตีด้วยความอยุติธรรมไปแล้ว หรือถูกว่าพวกอยู่ไม่เป็น แต่หัวใจของพวกเรายังอุ่น มีเลือดมีเนื้อ มีเห็นใจเพื่อนมนุษย์ นั่นคือสิ่งที่เราเชื่อ ดังนั้นการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้เริ่มขึ้นจากความเกลียดชัง แต่เกิดจากความรัก อนาคตใหม่คือการเดินทาง ไม่ใช่ยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนบุคคล แต่เป็นผู้คนที่มีการเดินทางร่วมกัน อนาคตใหม่ไม่ใช่ผม แต่พวกเราคืออนาคตใหม่” นายธนาธรกล่าว
     วันเดียวกันนี้ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ระบุข้อความว่า ผมเพิ่งเห็น คนบางคนเมื่อพูดคนเดียวพูดเองเออเองได้ทั้งหมด พูดคล่องเหมือนท่องอาขยาน ทั้งเรื่องหุ้น ประชาธิปไตย ความเท่าเทียม แต่เมื่อต้องพูดต่อหน้าตุลาการ พูดได้คำเดียวว่า "จำไม่ได้"
    "ที่เลวร้าย มีการพาดพิงอายุของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่ามีอายุเกิน 70 ปี ผมรู้สึกว่าคุณกำลังเอาตัวเลขนี้มาสื่อนัยว่าอายุมากแล้ว สู้พวกคุณไม่ได้ แต่อย่าลืมนะว่า คนที่ผ่านอายุมาขนาดนี้ ล้วนผ่านประสบการณ์ และรู้ดีรู้ชั่วมามากกว่าคุณ หยุดวัดคุณค่าคนด้วยอายุ"    
    ที่ตลกมากที่สุดคือ การย้ำว่าความผิดของตนเองคือการต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คสช. เขาต้องการให้คุณชี้แจงว่าโอนหุ้นจริงหรือไม่เท่านั้น แต่ก็เฉไฉไปเรื่องอื่น จึงไม่แปลกที่สร้างเรื่องอยู่.ไม่.เป็น. เพื่อต่อรองความผิดตนเอง
อยู่ไม่เป็นความหมายเชิงลบ
    ด้านนายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "อยู่ไม่เป็น” มีความหมายในเชิงลบมากกว่าเชิงบวก คนที่อยู่ไม่เป็นมักถูกมองว่า ขาดความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ ไม่เข้าใจสังคม และใช้วิธีการหรือกลยุทธ์ที่สังคมหรือชุมชน หรือกลุ่มอำนาจหลักไม่ยอมรับ 
    "เป็นคนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ดื้อรั้น หัวชนฝา เอาแต่ใจตนเองเป็นหลัก ภาษิตไทยที่ใช้กับผู้อยู่ไม่เป็น เช่น จระเข้ขวางคลอง แกว่งเท้าหาเสี้ยน มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ไม่ดูตาม้าตาเรือ เป็นต้น" นายสมชายระบุ
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถาบันทิศทางไทย จัดเสวนา ประเทศไทยอยู่อย่างไรให้ “อยู่ เย็น เป็นสุข” ที่สถาบันทิศทางไทย โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนา อาทิ น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ, นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย และ น.ส.หฤทัย ม่วงบุญศรี (อุ๊ หฤทัย) ศิลปิน เป็นต้น
    น.ส.หฤทัยกล่าวว่า คำว่าอยู่เป็น เป็นเรื่องที่ดีและเป็นสิ่งดีงาม และไม่ใช่คำล้อเลียนหรือไม่ได้หมายถึงคำในแง่ลบก็ได้ หากคำว่าอยู่เป็นใช้กับประเทศชาติ ชาติที่อยู่เป็น ก็คือพวกเราอยู่รอด แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่คนในชาติมัวแต่คิดว่าอยู่ไม่เป็น ถามว่าเพื่ออะไร อยากฝากไปถึงคนที่คิดว่ามนุษย์จะต้องมีสัญชาตญาณของความเป็นกบฏ ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ หากคนในชาติไม่สามัคคีกัน ทะเลาะกัน เราจะรอดได้อย่างไร ดังนั้นเราจึงต้องสงบ สันติ นี่คือความอยู่เป็นของชนชาติไทย
    “หากบอกว่าคนไทยเป็นพวกอะไรก็ได้ เป็นพวกปล่อยปละ เฉยๆ อะไรก็ yes yes นั้น คือไม่จริง แต่ขอให้กลับไปทบทวนคนไทยใหม่ เพราะคุณประเมินคนไทยผิด แท้จริงคนไทยรู้จักการเมืองดี และต่อสู้กับปฏิวัติ และชนะด้วย แม้กระทั่งเผด็จการรัฐสภา ธุรกิจการเมือง ทำให้สภาสูงอ่อนไหว เพราะถูกควบคุมจากพรรคการเมือง ปี 40-50 ถามว่าคนไทยยอมหรือไม่กับการทุจริตหรือผูกขาดประเทศ” น.ส.หฤทัยกล่าว
    น.ส.หฤทัยกล่าวอีกว่า กองทัพจะปล่อยให้ภาคประชาชนต่อสู้ลำพังได้อย่างไร ถึงได้เกิดรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แต่พวกคุณบอกว่าผิดหลักการ ยังเถียงอยู่ว่าระบอบการปกครองของเราไม่เป็นสากล อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางระบอบการปกครองจบไปนานแล้ว แต่นายปิยบุตรยังไม่จบ ไม่รู้ว่านายปิยบุตรหรือเปล่าที่เป็นไดโนเสาร์ ความเท่าเทียมกันมันทำไม่ได้ ฉะนั้นอย่าหลอกเด็ก ทำไมไม่ออกแบบการปกครองของเราเอง ทั้งนี้ คนไทยให้ความร่วมมือ ใจกว้าง โอบอ้อมอารี ไม่สังเกตหรือประเทศอื่นมีปัญหาเรื่องชนชาติ ขัดแย้งทางด้านศาสนา แต่ประเทศไทยไม่มีปัญหาเหล่านั้น ที่สำคัญจุดแข็งของประเทศเรา คือสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันนี้เป็นศูนย์รวมจิตใจ หนีตายจากไหนมา ก็อยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ทรงมีพระเมตตา
     เธอยังบอกว่า ที่ผ่านมามีการอ้างเสมอว่าการปฏิวัติในปี 2475 ยังไม่สำเร็จ เพราะประเทศไทยยังไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริง อีกทั้งที่ผ่านมาตำแหน่งนายกฯ หรือผู้มีอำนาจอยู่ภายใต้นายพล อาทิ  จอมพล ป. พิบูลสงคราม, จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, จอมพลถนอม กิตติขจร, จอมพลประภาส จารุเสถียร, พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์,  พล.อ.ชายชาติ ชุณหะวัณ เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นทหารโดยส่วนใหญ่ ตนก็อยากบอกว่าความจริงประเทศปกครองโดยทหารยศพล.อ. ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือต้องออกมาดีดดิ้น ถามว่าพวกเขาเหล่านั้นเคยกดขี่หรือไม่ ตนเชื่อว่าประเทศไทยก็ต้องมีดีบาง ไม่ใช่ นั้นหลายตระกูลจะรวยเป็นหมื่นล้านได้อย่างไร
อยู่ร่วมกันอย่างไรให้เป็นสุข
        ด้าน น.ส.วทันยากล่าวว่า คำว่าอยู่เย็นเป็นสุขไม่ได้แปลว่าอยู่ไม่เป็นหรืออยู่เป็น แต่เป็นการที่คนไทยอยู่ร่วมกันอย่างไรให้อยู่เย็นเป็นสุข ถ้าการที่เราจะคิดโดยยึดอัตตาตัวเองเป็นที่ตั้งอย่างเดียว จะทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างอยู่เย็นเป็นสุขไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเราเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ซึ่งเราจะไปเสพข้อมูลที่ชอบ อยู่แต่กับเรื่องที่สบายใจ และคิดว่านั่นคือความถูกต้องดีงาม ฉะนั้น สิ่งที่ต้องตั้งคำถามในตอนนี้คือ ไม่ว่าจะแตกต่างทางวัยก็ดี บริบทก็ดี เราจะหาจุดร่วมกันอย่างไรให้อยู่เย็นเป็นสุข และร่วมกันพัฒนาประเทศอย่างไร ไม่ใช่ผลักไสคนที่คิดต่าง คิดไม่เหมือน โดนตราหน้าว่าผิด แปลกแยก ทั้งที่ระบอบประชาธิปไตยคือการเคารพความเห็นที่แตกต่าง ดังนั้นเราควรจะมาแลกเปลี่ยนกันว่าจะเดินหน้าประเทศอย่างไร มากกว่ามาพูดว่าคนนั้นอยู่เป็นหรืออยู่ไม่เป็น บางครั้งเราตีตราคนอื่น แต่ตัวเองมักมีข้อยกเว้นเสมอ
    ขณะที่นายศรีสุวรรณกล่าวว่า ขณะนี้โซเชียลของนักการเมืองกำลังปลุกกระแส ซึ่งตนกำลังติดตามว่าเขากำลังจะสื่ออะไรกับสังคม พบว่านักการเมืองเหล่านั้นเหมือนไก่ชนที่ถูกตีซ้ายตีขวาจนหน้าบวมหัวห้อย แต่พยายามหาหนทางให้รอดชีวิต ซึ่งตนเห็นว่านักการเมืองพวกนี้พึ่งพาไม่ได้ บุคลิกการเมืองไทยเป็นแบบนี้ คำว่าอยู่เย็นเป็นสุข ฝากถึงกลุ่มนักการเมืองที่กำลังชุมนุมแถวจตุจักรว่าต้องอยู่อย่างเคารพกฎหมาย วิกฤติของกลุ่มพวกท่านก็จะไม่เกิด พอกฎหมายเริ่งเล่นงาน ก็คิดคำพูดว่าเพราะพวกเราไปเล่นงานพวกสืบทอดอำนาจ พยายามปัดปัญหาให้ผู้มีอำนาจ ไม่เคยโทษตัวเองเลย กฎหมายรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนว่า ก่อนเป็นส.ส.ต้องเคลียร์ตัวเองให้สะอาด
    “แต่ก่อนนักการเมืองก็ให้โฆษณาสื่อ แต่อยู่ดีๆ ก็คิดเทกโอเวอร์สื่อ ดังนั้นพอมีการดีไซน์แม่บทกฎหมายของชาติ ก็พยายามไม่ให้ส.ส.ครอบงำสื่อ รัฐธรรมนูญปี 60 เขียนไว้ชัดว่า ส.ส.ต้องไม่เป็นเจ้าของสื่อ ไม่มีหุ้นสื่อ ซึ่งเชื่อว่านักการเมืองทุกคนรู้ดีและเข้าใจ แต่มีนักการเมืองบางประเภทไม่ยอมรับผิด และโวยวายว่าถูกกลั่นแกล้ง และบางคนก็พยายามใส่ไคล้ว่าผมเป็นมือปืนรับจ้าง ซึ่งความจริงผมร้องทุกพรรคการเมือง พอมาถึงตัวเองดิ้นไม่ออก ดิ้นไม่หลุด ก็มาใส่ไคล้ว่าโดนผู้มีอำนาจ เราเห็นว่าบางอย่างมันไม่ถูกต้อง ก็ต้องออกมาตำหนิ หากมีช่องทางใช้สิทธิของตัวเองก็ต้องทำ” นายศรีสุวรรณกล่าว
    นายศรีสุวรรณกล่าวต่อว่า เลขาธิการบางพรรคพูดในลักษณะดูถูกคนไทย คิดว่าจบจากฝรั่งเศสแล้วจะเจ๋งกว่าคนไทยหรือ ชาวบ้านอยู่อย่างปกติสุข ทำมาหากิน ไม่ได้หมายความว่าไม่เห็นด้วยหรือเห็นด้วยกับรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน แต่นี่เป็นพลวัตทั่วไปของคนไทย ไม่ใช่พอเป็นนักการเมือง มีตำแหน่งแล้วจะมาดูถูกปัญญา พฤติกรรมหรือวิธีคิดคนไทยได้ วิธีคิดนี้คือพวกไดโนเสาร์แน่นอน ทั้งนี้ ขอฝากไปยังพรรคการเมืองบางพรรค ต้องดำรงอยู่การเมืองปกติ เหมือนที่พรรคการเมืองอื่นเขาทำกันอยู่ ไม่เห็นว่าพรรคเพื่อไทยจะดิ้น แต่กลับใช้วิถีที่มีอยู่ทำหน้าที่ แต่มีนักการเมืองบางพรรคพยายามจัดอีเวนท์อยู่ให้เป็น ตนก็ตกใจว่าคืออะไร สุดท้ายเข้าใจแล้วว่ากำลังจะโดนในวันที่ 20 พ.ย.นี้ ระบบกฎหมายประเทศไทยเป็นแบบสารบัญญัติ ไม่ใช่จารีต สารบัญญัติคือว่ากันตามลายลักษณ์อักษร
    เขากล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีคดีให้พรรคยืมเงินนั้น กฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชนต่างกัน โดยกฎหมายเอกชนหากไม่เขียนหรือกำหนดไว้ทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นกฎหมายมหาชน คือ เขียนไว้อย่างไรต้องปฏิบัติตามนั้น อย่างกฎหมายพรรคการเมืองซึ่งเป็นกฎหมายมหาชน กำหนดที่มารายได้ของพรรคไว้ 7 ข้อ และไม่มีข้อใดอนุญาตให้รายได้ของพรรคมาจากการกู้เงิน แต่ก็มาตะแบงบอกว่าไม่ใช่รายได้ คนจะตะแบงอย่างไรก็ตะแบง ดังนั้น ตนจึงขอให้จำไปบอกในศาล อย่าบอกว่าจำไม่ได้อีก และขอว่าพอถึงเวลาที่ศาลพิพากษาผลออกมาอย่างไร ก็ขอให้รับไปโดยดุษณี  สุดท้าย ฝากบอกนักการเมืองที่กำลังไปแถวจตุจักรให้สงบใจร่มๆ อย่าตายเพราะปาก อย่าพยายามปลุกระดม หรือใช้เยาวชน อย่าใส่อะไรที่ไม่ถูกไม่ต้องให้เยาวชน
    เลขาธิการสมาคมฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า คนที่ออกมาเคลื่อนไหวในตอนนี้ ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะไม่เกิดพฤติกรรมอยากแก้รัฐธรรมนูญ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นตอนนี้เรียกว่าอยู่ไม่สุข ตนไม่ได้คัดค้านว่ารัฐธรรมนูญแก้ไขไม่ได้ แต่เวลาหนึ่งใช้พอสมควรแล้วค่อยแก้ไข นี่ไม่ทันไรก็เสนอแก้ไขแล้ว คิดว่าคนเหล่านี้ที่อยากแก้ เพราะไม่ได้เป็นรัฐบาล มีอย่างที่ไหน บอกว่ารัฐธรรมนูญเฮงซวย ไปอีกเวทีหนึ่งบอกว่ามาตราหนึ่งต้องแก้ ถามว่าจะแก้อย่างไร วิธีคิดของคนกลุ่มนี้ดูแปลกๆ ไม่ใช่ว่าตนมีอคติ แต่เวลาทำอะไรมองแล้วมันตะขิดตะขวงใจ ใช้คำว่าประชาธิปัตย์เป็นคำขวัญและใช้ในหาเสียง ถ้าคุณเป็นประชาธิปไตยจริง ทำไมลูกพรรคแห่กันลาออก.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"