อนค.เอาคืนชงฟันมาดามเดียร์


เพิ่มเพื่อน    

 "ช่อ" เอาคืน ร้อง กกต.ตรวจคุณสมบัติการเป็น ส.ส.ของ "มาดามเดียร์" ขอให้ยุติปฏิบัติหน้าที่ พ่วงคุก 10 ปี เพิกถอนสิทธิ 20 ปีด้วย อ้างเหมือนกรณี "ธนาธร" เป๊ะ! ขณะที่ "ศรีสุวรรณ" จัดให้ ร้อง กกต.เร่งฟันอาญา "ทอน" เร็วๆ ก่อนฟ้องศาล รธน.เล่นงานคดีหมิ่นศาล

    เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ แถลงว่า ได้มอบหมายให้ทนายความไปยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้ตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็น ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญของ น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ภายหลังได้ตรวจสอบว่าแม้ น.ส.วทันยาจะเคยถือหุ้นบริษัทเครือเนชั่นและได้มีการโอนหุ้นดังกล่าวออกไปแล้ว แต่พบว่ามีการยื่นสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น หรือแบบ บมจ.6 ซึ่งเป็นแบบ บมจ.6 ที่ใช้กับการแจ้งเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดมหาชน ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในช่วงเดือน ก.ย.2562 ภายหลังรับสมัครเลือกตั้งเป็นเวลา 6 เดือน      
    น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า กรณีของ น.ส.วทันยา เทียบเคียงได้กับกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เพราะได้ยื่นสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัด หรือแบบบอจ.5 หลังจากการรับสมัครเลือกตั้ง อันเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายธนาธรยังคงมีหุ้นในบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อสารมวลชนในวันสมัครรับเลือกตั้ง 
    ดังนั้น เมื่อนำทั้งสองกรณีมาเทียบเคียงกัน จึงเป็นที่มาของการยื่นให้ กกต.ตรวจสอบและส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพของ น.ส.วทันยา พร้อมกันนี้ขอให้มีคำสั่งให้ น.ส.วทันยายุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยเช่นเดียวกับกรณีของนายธนาธร รวมไปถึงการดำเนินคดีในทางอาญาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ.2561 มาตรา 151 ด้วย โดยต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1-20 ปี
    "ถึงคุณวทันยาจะเข้ามาดำรงตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อภายหลัง แต่การวินิจฉัยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามจะต้องพิจารณา ณ วันที่มีการสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ใช่วันที่ได้รับตำแหน่งส.ส.บัญชีรายชื่อ" โฆษกพรรคอนาคตใหม่กล่าว  
    ที่สำนักงาน กกต. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นคำร้องต่อ กกต.ขอให้เร่งดำเนินคดีอาญากับนายธนาธร เนื่องจากเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชัดเจนและตามกฎหมายถือเป็นเด็ดขาดผูกพันทุกองค์กร จึงอยากให้ กกต.ดำเนินการตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 151  ที่กำหนดว่าบุคคลที่รู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วยังมาลงสมัคร ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่น-2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี โดยยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งโดยเร็ว
     นอกจากนี้ ขอให้ กกต.ดำเนินการตรวจสอบพยาน 10 ปากที่ศาลเรียกไต่สวนในคดีนี้ เนื่องจากทั้งหมดเป็นพยานฝ่ายนายธนาธร เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลในคดีนี้ชี้ให้เห็นว่าการให้ถ้อยคำของพยานทั้งหมดต่อศาลในชั้นไต่สวนไม่ได้เป็นไปตามข้อเท็จจริงอาจจะเป็นการเบิกความเท็จต่อศาลได้ ซึ่งก็จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้นหาก กกต.เห็นว่าละเมิดจริง ก็ขอให้เร่งดำเนินการส่งฟ้องตามกฎหมาย
    จากนั้นนายศรีสุวรรณเดินทางไปยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้ดำเนินการกับนายธนาธรฐานละเมิดศาล จากกรณีหลังศาลมีคำวินิจฉัยในคดีนี้แล้วนายธนาธรให้สัมภาษณ์ในลักษณะไม่ยอมรับคำวินิจฉัย โดยมีการระบุว่า ศาลยึดข้อสันนิษฐานมากกว่าข้อเท็จจริงที่เป็นวิทยาศาสตร์ในการวินิจฉัย รวมทั้งที่มีการระบุว่า ศาลไม่เคยทำธุรกิจ จึงไม่เข้าใจรสนิยมในการลงทุน  
    "ที่นายธนาธรอ้างว่าไม่ได้ใช้คำหยาบคาย แสดงความเห็นโดยสุจริต เรื่องนี้นายธนาธรไม่สามารถกล่าวอ้างได้ว่าคำพูดของตัวเองเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นศาลหรือไม่ ต้องให้ศาลในฐานะผู้ถูกกระทำเป็นผู้วินิจฉัยตามหลักเกณฑ์ข้อ 10 ของข้อกำหนดศาลฯ หรือไม่" นายศรีสุวรรณกล่าว
    วันเดียวกันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายธนาธรชูสามนิ้วภายหลังฟังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และมีการระบุในเวทีเสวนาเมื่อวันที่ 21 พ.ย.ว่าจะไม่ยอมทหารว่า ทหารไปทำอะไรให้ ทหารไม่ได้ทำอะไรเลย ต้องดูว่า มันมีเหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนปฏิวัติรัฐประหาร บ้านเมืองมันไปไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงต้องเข้ามาแก้ปัญหาให้บ้านเมืองเดินไปได้เท่านั้น ความจริงไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย อีกทั้งวันนี้ไม่มี คสช.แล้ว และเราเข้ามาตามรัฐธรรมนูญ
    ผู้สื่อข่าวถามว่า นายธนาธรพยายามเรียกร้องให้ประชาชนมาปรับโครงสร้างกองทัพ รองนายกฯ ถามกลับว่า จะปรับอะไรล่ะ กองทัพมีไว้สำหรับป้องกันประเทศ รักษาดูแลความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ รวมถึงความปลอดภัยของประชาชน
    เมื่อถามว่า เป็นห่วงความเคลื่อนไหวของนายธนาธรที่อาจปลุกม็อบต่อจากนี้หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่ห่วงอะไร คิดว่าประชาชนเข้าใจ มันมีกฎหมายอยู่ คงไม่มีอะไร
    ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ราชกิจจานุเบกษาประกาศห้ามวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ เราอยู่ตรงนี้ก็ต้องทำตามกฎหมาย เมื่อมีคำพิพากษาออกมา เมื่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลสูง และรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ก็ตามนั้น และตนเชื่อว่าคนที่อาสามารับใช้บ้านเมือง เป็นผู้แทนราษฎร ตั้งพรรคการเมืองมาทำเพื่อให้กับบ้านเมือง ต้องรักชาติบ้านเมือง คงไม่มาทำอะไรให้บ้านเมืองเสียหาย เชื่อในสปิริต และเชื่อว่าบ้านเมืองยังไม่มีเงื่อนไขอะไรเอาผู้คนออกมาเดินขบวนตามถนน ซึ่งผิดกฎหมายด้วย
    “จะทำอะไรต้องคำนึงถึงบ้านเมืองเป็นหลัก จะได้ไม่มีปัญหาอะไร ผิดตรงไหนก็ไปต่อสู้ อยู่ตรงไหนก็รับใช้บ้านเมืองได้ ผมก็โดนตัดสิทธิ์มา 5 ปี ไม่เห็นบ่นสักคำ และบวกโดนปฏิวัติอีก 5 ปี เป็น 10 ปี” นายอนุทินกล่าว
    น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ แนะนำว่านายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ควรอธิบายกฎหมายมหาชนให้นายธนาธรเข้าใจ แล้วนายธนาธรควรพิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบ หากทำผิดจริงก็ควรรับผิด อย่าดื้อแพ่ง อย่าสร้างวาทกรรมต่างๆ โดยเอาหลักกูที่ไม่เป็นหลักกฎหมายมาปรับใช้ หยุดเบี่ยงเบนประเด็นกฎหมาย หยุดชี้นำสังคมด้วยข้อมูลตรรกะความคิดผิดๆ และจากผลคดีหุ้นวีลัคนั้น นายธนาธรควรพิจารณาทั้งเจตนาและคุณสมบัติของนักกฎหมายที่ช่วยให้ความเห็นว่ามีเจตนาที่ดีกับนายธนาธร และมีความรู้กฎหมายเพียงพอหรือไม่.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"