พานทองแท้รอดคุก อานิสงส์ยกประโยชน์จำเลยศาลชี้10ล้านแค่เศษเงิน‘โอ๊ค’


เพิ่มเพื่อน    

 “พานทองแท้” รอดคุก! ได้อานิสงส์องค์คณะ 2 เสียง ต้องยกประโยชน์ให้จำเลย  เชื่อโอ๊คไม่รู้ที่มาของเงิน ที่สำคัญมูลค่าก็แสนจิ๊บจ้อยเมื่อเทียบฐานะ “ตระกูลชินวัตร” แห่ขอบคุณกำลังใจ วิษณุเผยมีสิทธิ์อุทธรณ์ได้ อัยการยังกั๊กรออ่านคำพิพากษาข้อมูลพร้อมรีวิวให้ดีเอสไอก่อน ชี้ยังมีเวลา 1 เดือน

เมื่อวันที่ 25 พ.ย. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อท.245/2561 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพานทองแท้ หรือโอ๊ค ชินวัตร  อายุ 41 ปี บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5, 9  และ 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2558 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91 จากคดีการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร กรุงไทย จำกัด  (มหาชน) ให้ธุรกิจเครือกฤษดามหานคร  
โดยเมื่อเวลา 09.38 น. นายพานทองแท้เดินทางมาพร้อมกับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร หรือดามาพงศ์ มารดา และ น.ส.พินทองทา, น.ส.แพทองธาร ชินวัตร น้องสาวทั้งสองและน้องเขย รวมทั้งนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน รวมทั้งบุคคลใกล้ชิดครอบครัวและเพื่อนสนิทกว่า 20 คน รวมถึงนักการเมือง อาทิ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา แกนนำพรรคเพื่อไทย และนายก่อแก้ว พิกุลทอง มาให้กำลังใจคับคั่ง
ก่อนเข้าฟังคำพิพากษา นายพานทองแท้ตอบข้อถามด้วยสีหน้ายิ้มเล็กน้อยว่าตื่นเต้นหรือไม่ในการฟังคำพิพากษา ว่ารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ส่วนคุณหญิงพจมานได้ยิ้มทักทาย ทั้งนี้บริเวณศาลได้มีการประสานกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก บก.น.1 ประมาณ 50 นายเพื่อดูแลความเรียบร้อยด้วย
โดยคดีนี้อัยการยื่นฟ้องนายพานทองแท้เมื่อวันที่ 10 ต.ค.2561 สรุปพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2547 หลังจากนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อดีตผู้บริหารเครือกฤษดามหานครกับพวก ร่วมกันกระทำผิดกับอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทยในการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบ ทำให้ธนาคารเสียหายจำนวน  10,400,000,000 บาท แล้วนายวิชัยกับพวกร่วมกันฟอกเงินที่ได้จากการกระทำผิด โดยนายวิชัยได้นำบริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด ที่มีนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ บุตรชายนายวิชัย,  นายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา กรรมการบริษัท แกรนด์แซทเทิลไลท์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ที่มีนายเชื้อ ช่อสลิด เป็นกรรมการ มาใช้ในการรับโอนเงิน แล้วนำเงินนั้นไปซื้อขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นการเปลี่ยนสภาพทรัพย์สิน โดยนายวิชัยได้โอนเงินจากการขายหุ้นนั้นให้นายพานทองแท้ 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายรัชฎา และบุคคลในครอบครัวทั้งสองมีความรู้จักเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน โดยนายวิชัยสั่งจ่ายเช็คลงวันที่ 17 พ.ค.2547 จากบัญชีกระแสรายวัน  ธนาคารไทยธนาคาร สาขาบางพลัด ระบุชื่อนายพานทองแท้ 
ต่อมาวันที่ 18 พ.ค.2547 นายพานทองแท้ได้นำเช็คนั้นเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ สาขาบางพลัด และวันที่ 24 พ.ค.2547 นายพานทองแท้ได้ถอนเงิน 10 ล้านบาทเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ สาขาซอยอารีย์ของจำเลยอีกอัน จากนั้นระหว่างวันที่ 24 พ.ค. - 26 พ.ย.2547  นายพานทองแท้ได้ถอนเงินออกจากบัญชีผ่านตู้เอทีเอ็มครั้งละ 5,000-20,000 บาท รวม 11 ครั้ง และช่วงในวันที่ 14 มิ.ย.2547 มีเงินฝากเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาซอยอารีย์ของจำเลย 80,000 บาท  วันที่ 30 พ.ย.2547 จำเลยได้ถอนเงิน 8,800,000 บาทจากบัญชีดังกล่าว เข้าฝากบัญชีกระแสรายวัน ธนาคารกรุงเทพ สาขาซอยอารีย์ ซึ่งมียอดเงินรวมในบัญชี 14,720,352.07 บาท ต่อมาวันที่ 2 ธ.ค.2547 จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 14,700,000 บาทจากบัญชีกระแสรายวัน ธนาคารกรุงเทพ สาขาซอยอารีย์ และในชั้นพิจารณา นายพานทองแท้ให้การปฏิเสธสู้คดีว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง เงินดังกล่าวเป็นส่วนที่จะร่วมลงทุนธุรกิจนำเข้ารถซูเปอร์คาร์กับนายรัชฎา ขณะที่นายพานทองแท้ได้รับการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี 1 ล้านบาท พร้อมเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
มูลค่าเงินจิ๊บจ้อย
ต่อมาเวลาประมาณ 10.40 น. ศาลเริ่มอ่านคำพิพากษา โดยองค์คณะศาลอาญาคดีทุจริตพิเคราะห์พยานโจทก์และจำเลยนำสืบหักล้างในชั้นไต่สวนพยานแล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดฐานรับโอนเงินที่ได้จากการกระทำผิดมูลฐานหรือไม่นั้น ตามกฎหมายต้องได้ความชัดเจนว่า ผู้ที่รับโอนเงินมานั้นต้องรับทราบว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินส่วนหนึ่งหรือได้มาจากการกระทำความผิดนั้น ซึ่งคดีนี้ข้อเท็จจริงก็ปรากฏตามทางนำสืบในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของจำเลยกับครอบครัวของนายวิชัย เพียงว่านายพานทองแท้เป็นบุตรของนายทักษิณ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกฯ ขณะที่นายวิชัยได้ทำการกู้สินเชื่อกับธนาคารและได้รับอนุมัติ โดยจำเลยมีความสนิทสนมกับนายรัชฎาเพียงเท่านั้น ซึ่งในการโอนเงิน 10 ล้านบาทเข้าบัญชีจำเลยอาจเกิดจากการอนุมัติสินเชื่อธนาคารกรุงไทย  10,400,000,000 บาท ขณะที่บิดาของจำเลยดำรงตำแหน่งนายกฯ  
ในการดำเนินคดีกับนายวิชัย เจ้าหน้าที่ก็ระบุว่า นายวิชัยจะผิดหรือไม่ก็ต้องรอผลคำพิพากษา ซึ่งกรณีของนายวิชัยที่ถูกกล่าวหาร่วมทุจริตการกู้สินเชื่อธนาคารกรุงไทยนั้น ศาลฎีกาฯ ได้มีคำพิพากษาในภายหลัง (ปี 2558) จากที่มีการโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลย ที่ขณะนั้นอายุ 26 ปี ซึ่งเวลานั้นจำเลยเพิ่งจบการศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จำเลยจึงย่อมไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าเงินดังกล่าวได้มาจากการกระทำผิด โดยจำเลยเองเวลานั้นก็มีทรัพย์เป็นหุ้นในบริษัทจำนวน 4,000 ล้านบาทอยู่ก่อนแล้ว หากเทียบสัดส่วนเงิน 10 ล้านบาทที่โอนเข้าบัญชีกับมูลค่าหุ้นที่มีอยู่ ก็คิดเป็น 0.0025% และเมื่อเทียบกับจำนวนยอดเงินกู้สินเชื่อที่นายวิชัยได้ไปนั้นก็เพียง 0.001% เท่านั้น ซึ่งมีจำนวนน้อย และที่โจทก์เห็นว่า แม้พยานจะไม่ชัดเจนว่าจำเลยรับรู้ว่าเงินนั้นได้มาจากการกระทำผิดหรือไม่ ก็ต้องฟังประกอบกับพยานแวดล้อม พร้อมอ้างแนวคำพิพากษาฎีกาการฟอกเงินคดียาเสพติดนั้นระหว่างสามี-ภรรยาที่สามีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และตัดสินว่าภรรยาที่อยู่กินร่วมกันฉันสามี ภรรยาย่อมรับรู้ว่าเงินนั้นมาจากการกระทำผิดด้วยนั้น โดยเป็นแนวทางที่นักวิชาการอิสระเองก็เห็นด้วย  ศาลเห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวถือว่ามีความแตกต่างกับคดีนี้เป็นอย่างมาก จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ 
นอกจากนี้ตามทางนำสืบยังพบว่า ในการทำธุรกรรมทางการเงินของจำเลยผ่านบัญชีต่างๆ ก็ยังเป็นการโอนและถอนลักษณะปกติ มีเงินหมุนเวียนในบัญชีประมาณ 7 เดือน ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถตรวจสอบได้ ไม่มีข้อที่ปกปิดในลักษณะเปิดเผยไม่ได้ หรือเป็นลักษณะซุกซ่อนปกปิดแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งหากเห็นการทำธุรกรรมมีข้อสงสัยว่าเป็นการกระทำผิดหรือไม่ ธนาคารก็สามารถตรวจสอบธุรกรรมได้ พฤติการณ์ของจำเลยยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยรู้หรือควรรู้ว่านายวิชัยได้เงินจากการทุจริต  เมื่อจำเลยไม่รู้ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฟอกเงิน พิพากษายกฟ้อง
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังแล้ว องค์คณะได้ชี้แจงให้คู่ความรับทราบด้วยว่า คดีนี้องค์คณะผู้พิพากษามี 2 คนมีความเห็นต่างกันในการตัดสิน จึงได้นำความเห็นที่มีผลร้ายน้อยที่สุดกับจำเลยมาเป็นคำตัดสิน ขณะที่ความเห็นขององค์คณะอีกคนหนึ่งนั้นเห็นแย้งว่า จำเลยมีความผิดเห็นควรให้ลงโทษจำคุก 4 ปี ซึ่งก็จะมีการบันทึกไว้เป็นความเห็นแย้งท้ายคำพิพากษาด้วย หากคู่ความยื่นอุทธรณ์ ความเห็นแย้งนี้ในสำนวนก็จะขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ทราบเช่นกัน
สำหรับความเห็นแย้งนั้นระบุว่า คดีนี้มีคำพิพากษายกฟ้อง โดยมีความเห็นแย้งกันเป็น 2 ฝ่าย หาเสียงข้างมากไม่ได้ จึงให้ผู้พิพากษาที่มีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลย ซึ่งเห็นว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ มาตรา 5(1)(2), 60 ลงโทษจำคุก 4 ปี ยอมเห็นด้วยกับผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า คือยกฟ้อง
หลังศาลยกฟ้อง นายพานทองแท้กล่าวกับผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆ ว่า "ขอบคุณทุกกำลังใจ วันนี้ได้รับกำลังใจเยอะ" ขณะที่คุณหญิงพจมานได้ตอบคำถามสื่อด้วยรอยยิ้มว่า "ขอบคุณค่ะ ก็สบายใจขึ้น" ก่อนขึ้นรถเดินทางกลับ
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอม-น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ และอุ๊งอิ๊ง-น.ส.แพทองธาร ชินวัตร น้องสาวของนายพานทองแท้ ได้โพสต์ภาพและข้อความผ่านอินสตาแกรมขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งให้พี่ชายในครั้งนี้
ครอบครัวชินวัตรขอบคุณ
     ส่วน น.ส.พินทองทาหรือเอมได้โพสต์ภาพและข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า "ขอขอบพระคุณทุกๆ กำลังใจที่ส่งมาให้พวกเรานะคะ พวกเราทุกคนรับรู้และซาบซึ้งมากจริงๆ ค่ะ และขอขอบคุณครอบครัวของเราที่อบอุ่นและคอยดูแลประคองความรู้สึกกันตลอด ไม่ว่าคุณแม่ที่อยู่ใกล้หรือรวมถึงคุณพ่อที่อยู่ไกลแต่กำลังใจส่งมาไม่ห่าง ในวันนี้ถือเป็นหนึ่งในข่าวดีที่สุดของครอบครัวเราเลยค่ะ ขอบคุณทุกคนนะคะ รวมถึงสื่อมวลชนทุกท่านด้วยนะคะ"
     ขณะที่อุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธารระบุข้อความว่า "ขอบพระคุณทุกคนสำหรับกำลังใจที่ให้พี่ชายของเราในวันนี้และที่ผ่านๆ มานะคะ มันมีความหมายมากจริงๆ สำหรับเรา ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองให้วันนี้มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับครอบครัวของเราค่ะ #familymeanseverything"
ขณะที่แหล่งข่าวอัยการเปิดเผยถึงขั้นตอนการพิจารณาอุทธรณ์คดีว่า หลังจากนี้ก็ต้องคัดคำพิพากษาและเอกสารหลักฐานในสำนวน รวมทั้งความเห็นแย้งส่งให้คณะทำงานพิจารณา คดีนี้เราได้พิจารณาในรูปแบบคณะทำงานของอัยการ โดยต้องพิจารณาว่าเหตุผลในคำพิพากษาว่ารับฟังได้เพียงใด ผลยังไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยยังมีความเห็นแย้งในองค์คณะเป็น 2 ฝ่ายด้วย ขณะที่เหตุที่ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะเห็นว่าตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อ.) มาตรา 184, 185 หากกรณีที่มีผลคำพิพากษาเป็น 2 ฝ่าย ไม่มีเสียงข้างมาก ก็ให้นำผลคำพิพากษาที่มีผลร้ายน้อยที่สุดต่อจำเลยมาเป็นคำตัดสิน ดังนั้นเราก็ต้องนำรายละเอียดของความเห็นแย้งมาดูเหตุผลว่าอย่างไรที่จะตัดสินว่าควรจะลงโทษ คดีนี้เป็นที่สนใจของประชาชน ดังนั้นก็ต้องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาอย่างรอบคอบด้วย จะยื่นอุทธรณ์คดีหรือไม่ต้องอธิบายและตอบคำถามบุคคลที่เกี่ยวข้องและสื่อมวลชนได้ 
“สุดท้ายแล้วหากอัยการสำนักงานคดีศาลสูงมีคำสั่งให้อุทธรณ์ หลังจากที่คณะทำงานสำนักงานสำนวนคดีชั้นต้นทำความเห็นเบื้องต้นเสนอไปแล้ว กระบวนการก็ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ได้เลย แต่หากมีคำสั่งไม่อุทธรณ์ กรณีก็ยังไม่ถือว่าเป็นที่ยุติ ซึ่งขั้นตอนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 145  และ พ.ร.บ.ว่าด้วยกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 มาตรา 34 ต้องแจ้งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนทำคดีนี้ทราบ ในลักษณะเป็นการรีวิว หากดีเอสไอเห็นแย้งก็ต้องส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาดว่าจะอุทธรณ์หรือไม่” 
อัยการกล่าวด้วยว่า คดีนี้เท่าที่ฟังถือว่าเส้นทางการเงินเข้าออกบัญชีชัด แต่ที่ยกฟ้องคือเจตนาของจำเลยว่าไม่รู้ถึงแหล่งที่มาของเงิน โดยกรณีของนายวิชัยนั้นถูกศาลฎีกาฯ พิพากษาลงโทษหลังจากที่มีการรับโอนเงินกับจำเลย ซึ่งศาลเห็นว่าขณะรับโอนเงิน จำเลยไม่รู้ จำเลยจึงขาดเจตนา และเมื่อเทียบข้อเท็จจริงกับทรัพย์สินที่จำเลยนำเสนอว่ามีอยู่แล้ว 4,000 ล้านบาท จำนวนเงินโอนมีน้อยกว่า จึงน่าเชื่อว่าจำเลยไม่ได้รับรู้ว่าเงินนั้นมาจากการกระทำผิด
สำหรับขั้นตอนในการยื่นอุทธรณ์คดีนั้นต้องยื่นภายใน 1 เดือน นับจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา 
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายพานทองแท้ที่เดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลอาญาฯ ทำให้จากนี้ไม่ต้องไปจับตาแล้วใช่หรือไม่ว่า ไม่ต้องจับตาหรอก เขามาก็มา ซึ่งฝ่ายความมั่นคงก็ไม่หนักใจอะไร
ส่วนนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวหลังศาลยกฟ้องนายพานทองแท้ว่า ถ้าเป็นศาลชั้นต้นตัดสิน อัยการสามารถอุทธรณ์ได้ ส่วนที่ถามว่าการตัดสินถือว่าสามารถสร้างความปรองดองสมานฉันท์ได้หรือไม่นั้น-ไม่ทราบ คุณไปพูดแบบนั้นไม่ได้ เป็นเรื่องของศาลตัดสิน ใครจะไปปรองดองกับศาล 
เมื่อถามว่า สังคมคาดการณ์ตอนแรกว่านายพานทองแท้น่าจะโดนคดี นายวิษณุกล่าวว่า เล่นไปคาดการณ์กันเอง คาดถูกคาดผิดไปตามเรื่อง โดยไม่เคยฟังพยาน ไม่เคยดูคำฟ้อง ไม่เคยดูคำให้การ  ศาลตัดสินว่าอย่างไรก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น ถ้าไม่เห็นด้วย ไม่พอใจก็เป็นเรื่องที่จะไปว่ากันต่อไป. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"