
สังคมไทยเป็นสังคมที่ยกย่องและเชิดชูนับถือ “ครู” เนื่องจากเป็นผู้ให้วิชาความรู้เพื่อนำไปใช้เลี้ยงดูตัวเองได้ ดังนั้นพิธีกรรมของการไหว้ครูจึงเกิดขึ้นในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ผู้ให้ความรู้เด็กเยาวชนนิสิตนักศึกษาในศาสตร์หรือแขนงความรู้ใดๆ ก็ตามแต่ สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมให้เห็นพิธีกรรมดังกล่าวนั้น ถือเป็นการแสดงความกตัญญูต่อครูโดยลูกศิษย์ลูกหา
ในงานประชุมวิชาการระดับชาติ “ครูและพิธีไหว้ครูในวัฒนธรรมไทย ศึกษาเพื่อสืบสานและสร้างสรรค์” ที่จัดขึ้นโดย สำนักศิลปกรรม ราชบัณฑิตยสภา สถาบันไทยศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาทิ พิธีไหวครูแพทย์, พิธีไหว้ครูหนังสือ, พิธีไหว้ครูช่าง พิธีไหว้ครูดนตรีและศิลปะการแสดง มีการถกและอภิปรายเรื่องนี้กันอย่างน่าสนใจ ด้วยสังคมในยุคปัจจุบันนั้น ถือเป็นสังคมดิจิตอล หรือยุคสมัยใหม่ ซึ่งอาจทำให้การเคารพครูและการจัดพิธีไหว้ครูนั้นถูกมองว่าเป็นเรื่องล้าหลัง หรือเด็กบางคนไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับพิธีกรรมดังกล่าว
นั่นจึงไม่แปลกที่จะเห็นพานไหว้ครูของเด็กยุคใหม่ล้วนแปลกแหวกแนวที่ชวนสร้างความตะลึงในความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนยุคใหม่ แทนที่พานไหว้ครูดอกมะเขือ หญ้าแพรก และดอกเข็ม ที่แสนเรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยความดีๆ ที่สำคัญเป็นเครื่องบูชาที่หาได้ไม่ยากเย็น
แม้สิ่งที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่เรื่องผิดในแง่ของไอเดียสร้างสรรค์ของเด็กๆ แต่เพื่อเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการไหว้ครู และความหมายของการเป็นครูที่ดี เพราะปัจจุบันจิตวิญญาณของความเป็นครูถูกบ่อนทำลาย โดยเฉพาะการขายจิตวิญญาณเพื่อแลกกับตำแหน่งหรือเงินตรา เป็นต้น

(ศ.นพ.สุรพล อิสรไกรศีล)
ศ.นพ.สุรพล อิสรไกรศีล บอกว่า “ในฐานะที่เป็นแพทย์และเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์ นอกจากการเป็นผู้ที่มีความรู้แล้ว จำเป็นต้องมีจริยธรรมที่ดีด้วย เพราะการเป็นครูที่สอนแพทย์นั้นยากกว่าครูธรรมดา เพราะนอกจากให้ความรู้กับศิษย์แล้ว ยังต้องตระหนักถึงคุณธรรมจริยธรรม สำหรับครูแพทย์แผนปัจจุบัน หรือบิดาของแพทย์แผนปัจจุบันนั้นได้ คือ “ฮิปโป เครติส” ซึ่งเป็นคุณหมอชาวกรีก ที่เชื่อว่าการที่คนป่วยเป็นโรคนั้นไม่ใช่เพราะเทพเจ้าเป็นผู้บันดาล แต่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายมนุษย์ อีกทั้งสิ่งแวดล้อม นั่นจึงทำให้วิธีการรักษาโรคของแพทย์แผนปัจจุบันค่อนข้างแตกต่างกันออกไป ดังนั้น “ฮิปโป เครดิส” จึงได้กำหนดให้ปฏิญญาให้แพทย์ทุกคนมีคุณธรรม จริยธรรม ในดูแลรักษาผู้ป่วยทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
โดยสรุปนั้นความสำคัญของ “ครู” คือช่วยให้เราเรียนลัด จากประสบการณ์และความรู้ของครู ที่เป็นตัวอย่างทำให้ลูกศิษย์เดินตาม อีกทั้งการเป็นแพทย์ต้องไม่คิดแค่เป็นแพทย์พานิชเพียงเดียวเท่านั้น
“สำหรับบิดาการแพทย์ในบ้านเราคือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก (เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช) ซึ่งเป็นพระราชโอรสของในหลวงรัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านได้ทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จากนั้นก็ทรงไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนี กระทั่งเสด็จฯ กลับมาปรับปรุง รร.แพทย์ที่ รพ.ศิริราช และภายหลังก็ได้ไปศึกษาด้านการแพทย์ในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด 2 ปี กระทั่งหยุดพักการเรียน เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ จากนั้นจึงได้ไปศึกษาด้านการแพทย์ต่อที่ประเทศอังกฤษและประเทศอเมริกา กระทั่งได้ปริญญาด้านสาธารณสุข และกลับมาทรงช่วยที่ รพ.ศิริราช กระทั่งสวรรคตเมื่ออายุ 38 ปี
ส่วนบิดาการแพทย์ของโรงเรียนแพทย์ใน รพ.ศิริราช คือ “ศาสตราจารย์ นพ.อวย เกตุสิงห์” ผู้ที่ซึ่งเป็นคนริเริ่มการไหว้ครูแพทย์ใน รพ.ศิริราช เนื่องจากโรงเรียนแพทย์ เราจะให้รุ่นพี่ปี 5 สอน รุ่นน้องนักศึกษาแพทย์ปี 4 และให้รุ่นพี่ปี 6 สอน รุ่นน้องนักศึกษาปี 5 อีกทีหนึ่ง จึงเปรียบเสมือนเป็นการเคารพกันระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง โดยเริ่มพิธีไหว้ครูแพทย์ตั้งแต่ปี 2503 มาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยเราจะไหว้ครูในวันพฤหัสบดีแรกของเดือนที่เปิดภาคเรียน
โดยมีพิธีในตอนเช้าคือ 1.การทำบุญตักบาตร 2.พิธีไหว้ครูโดยการถือพานไหว้ครูตามประเพณี และตามด้วยการไหว้พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด และครูอาจารย์แพทย์ที่เสียชีวิตไปนานหลายปีแล้ว 3.พิธีการไหว้ครูที่เป็นคณบดี โดยการนำธูป เทียน ดอกไม้ไปไหว้ท่าน 4.ให้รางวัลกับนักศึกษาแพทย์ที่เรียนดี และให้ทุนการศึกษากับครูแพทย์ ที่อุทิศตนดูแลสั่งสอนลูกศิษย์ในโรงเรียนแพทย์เป็นประจำทุกปี และถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อกันมาในโรงเรียนแพทย์ทั้ง 3 แห่ง (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)
ศ.นพ.สุรพล บอกว่า “สำหรับการสืบสานพิธีการไหว้ครูอย่างสร้างสรรค์ และสร้างคุณค่าในสังคมไทย ท่ามกลางยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ศิษย์แสดงความเคารพต่อครู ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามมาก ดังนั้นหากต้องการคงพิธีไหว้ครูเอาไว้ ต่อจากนี้เป็น 20 และ 100 ปี หรือเป็นของดีที่ต้องรักษาเอาไว้นั้น ประการสำคัญนั้นต้องทำให้ลูกศิษย์นั้นรู้สึกถึงความสำคัญและคุณค่าของครูก่อน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และครูเองก็ต้องรู้จักบทบาทของตัวเอง เพราะครูไม่ใช่คนที่ให้ความรู้ในตำราเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องให้ความรู้ในสิ่งที่เด็กไม่สามารถเรียนได้จากที่อื่นได้ เช่น ทักษะและประสบการณ์ตรงของครู รวมถึงเรื่องของคุณธรรมและจริยธรรมที่เด็กต้องรู้ ดังนั้นครูต้องเป็นอย่างที่ดีก่อนครับ”

(อาจารย์ละออง พุทธมอญ)
ไม่ต่างจาก อาจารย์ละออง พุทธมอญ จากโรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพนฯ บอกว่า “ในวงการแพทย์แผนโบราณนับถือพระฤาษี ซึ่งเป็นผู้ที่ค้นพบสรรพคุณทางยาสมุนไพร รวมถึงท่านวดบำบัดฤาษีดัดตน ที่มีการหล่อรูปปั้น 80 ท่า 82 ตน ไว้รอบวัดพระเชตุพนฯ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 นอกจากนี้ก็ยังนับถือหมอชีวก ที่ถือเป็นปฐมครูผู้มีความรู้ด้านศาสตร์เวชกรรมผดุงครรภ์และการนวด
“ทั้งนี้ พิธีไหว้ครูของโรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพนฯ ไม่ใช่แค่ท่านทั้งสองที่กล่าวมา แต่เรายังไหว้ครูแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อย่าง “ศาสตราจารย์ นพ.อวย เกตุสิงห์” โดยจะไหว้ครูในเดือน 6 หรือ เดือน 9 ซึ่งถือเป็นเดือนที่อุดมสมบูรณ์ โดยเลือกวันพฤหัสบดีเช่นกัน โดยทำพิธีทั้งแบบพุทธ และพิธีแบบพราหมณ์ โดยช่วงเช้านั้นจะทำพิธีแบบพุทธ 1.เริ่มจากการจุดธูปเทียนชัย และกล่าวคำอาราธนาพระรัตนไตร ตามด้วยปู่หมอชีวก 2.พิธีครอบครัว 3.การมอบตัวเป็นศิษย์ 4.ครูอาจารย์เจิมที่ตำราและอุปกรณ์ อาทิ มีดหมอ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ถือได้ว่าเป็นครู ในทางแพทย์แผนโบราณด้วยเช่นกัน แต่ปัจจุบันทางโรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพนฯ ได้ปรับเปลี่ยนวันไหว้ครูเป็นวันที่ 6 เมษายน ซึ่งเป็นวันดีที่มีการก่อตั้ง กทม.เป็นเมืองหลวง และเป็นวัดประจำของรัชกาลที่ 1
ถ้าถามว่าในยุคปัจจุบันที่เป็นยุคดิจิตอล หรือสังคมสมัยใหม่เข้ามา จะกระทบการพิธีไหว้ครูแบบเดิมหรือไม่นั้น คิดว่าครูเองต้องสร้างความศรัทธาให้กับศิษย์ เพราะสมัยก่อนลูกศิษย์จะค่อนข้างเคารพครู ซึ่งต่างจากปัจจุบันที่ลูกศิษย์มักจะตีตนเสมอครู และคิดว่าครูเป็นเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายหรือการพูดจา เนื่องจากลูกศิษย์บางคนอายุมากกว่าครู แต่เมื่อไรก็ตามที่ลูกศิษย์เรียนจบการศึกษาด้านแพทย์แผนโบราณ การที่เขาได้รับความรู้จากครูอาจารย์ ที่ทำให้เขามีวันนี้ได้ หรือมีวิชาในการเลี้ยงชีพนั้น สุดท้ายแล้วเขาก็จะมาบอกกับครูว่า จากการที่เขาได้ศึกษาด้านแพทย์แผนโบราณ 4-5 ปีนั้น วันแรกที่เขาคิดไม่ดีกับครู แต่พอวันที่จบการเรียนเขารู้แล้วว่า ครูเป็นผู้ที่มีความปรารถนาดีต่อศิษย์ และสิ่งนี้เองจึงเป็นคำตอบว่า พิธีไหว้ครูจะยังคงสืบสานและดำรงต่อไปได้ จากการที่ครูใช้ความรักและความปรารถนาดีในการส่งมอบความรู้ดีๆ ให้กับลูกศิษย์”

(ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์)
ปิดท้ายกันที่ ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ราชบัณฑิต บอกว่า “ในฐานะที่ตัวเองเป็นอาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นนักวิจัยเกี่ยวกับการศึกษา มองว่าจากเอกสารที่ ศาสตราจารย์กิตติคุณกาญจนา นาคสกุล ได้เขียนไว้ว่า เหตุผลที่ว่าทำไมนิสิตนักศึกษารุ่นใหม่จึงไม่สนใจพิธีไหว้ครูนั้น ทั้งที่พิธีกรรมดังกล่าวเป็นการสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากปัจจุบันนั้นเราดีไซน์แม้แต่พานไหว้ครูให้มีความทันสมัย และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
อันที่จริงแล้วเราทำในเชิงของพิธีกรรมมากเกินไป เพราะเนื่องจากสมัยก่อนเด็กรักและชื่นชมครู จึงทำพานไหว้ครูด้วยใจ แต่ปัจจุบันไม่ใช่ เนื่องจากเด็กถูกบังคับให้ทำ หรือพวกเขาต้องเข้าร่วมพิธีไหว้ครู ซึ่งตรงนี้จะทำให้เด็กมองข้ามสิ่งดีๆที่อยู่ในพิธีกรรมไหว้ครูไป ไม่ว่าจะเป็น หญ้าแพรก, ดอกมะเขือ ที่แสดงถึงความกตัญญูต่อครู หรือดอกเข็ม ที่สะท้อนให้เห็นความฉลาดเฉลียวและมีสติปัญญาในการเรียนรู้ที่เฉียบคมเหมือนดอกเข็มของเด็กๆ ที่ไหว้ครู
ดังนั้นมันถึงเวลาที่เราต้องปลูกฝังความรู้ที่อยู่นอกหลักสูตรการเรียนการสอนให้กับเด็กๆ เพื่อให้เด็กเกิดความกระจ่างและเข้าใจในพิธีการไหว้ครูนี้ โดยการอธิบายให้เด็กเห็นจากสิ่งเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในพานไหว้ครู เพราะอย่าลืมว่าเด็กยุคใหม่ ทั้งเจน Y เจน Z เป็นกลุ่มคนที่ชอบถามคำถาม เพื่อให้มีผู้รู้ตอบ เนื่องจากความหมายสำคัญที่ซ่อนอยู่ในพิธีกรรมไหว้ครูนั้น คือการเป็นคนดี และมีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา ที่สำคัญครูเองก็จะต้องไม่ใช่แค่ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับศิษย์ ตรงกันข้ามก็จะต้องเป็นผู้ที่คอยให้กำลังใจ หรือเป็นการชี้คำตอบทางอ้อม เพื่อให้เด็กคิดรู้จักที่จะใฝ่เรียนรู้ และหาคำตอบด้วยตัวเอง ซึ่งถือเป็นการเรียนรู้ที่ตรงกับจริตของเขา จึงทำให้ครูได้ใจลูกศิษย์ และนั่นจึงจะทำให้เด็กรุ่นใหม่เข้าใจและยกย่องพิธีไหว้ครู”.
ปาฐกถา “ครูไทยไม่ลืมจิตวิญญาณความเป็นครู”

(ศ.กิตติคุณสุมน อมรวิวัฒน์)
ศ.กิตติคุณสุมน อมรวิวัฒน์ ราชบัณฑิต สะท้อนว่า “พิธีกรรมการไหว้ครูนั้น แสดงให้เห็นถึงความกตัญญูที่มีต่อครู ซึ่งเป็นผู้ที่เสริมสร้างความรู้ ความมั่นใจให้กับลูกศิษย์ และพิธีดังกล่าวนั้นยังสะท้อนเห็นถึงการส่งเสริมความรัก ความผูกพันที่ครูมีต่อเด็กนักเรียนอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม คนเป็นครูย่อมต้องมีจิตวิญญาณในความเป็นครูที่ดีด้วยเช่นเดียวกัน
“สำหรับจิตวิญญาณของความเป็นครูนั้น หมายถึงการมีชีวิตความเป็นครู ไม่ใช่หุ่นครู ดังนั้นคนที่เป็นครูจะต้องอยู่ในวิชาชีพครู ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่พ้นจากความคิดและจินตนาการที่ถูกกักขัง เพราะทุกวันนี้ทุกคนถูกกักขังอยู่ ดังนั้นเมื่อเราเป็นครู อันดับแรกเราจะต้องมีอิสรภาพ ทั้งในเชิงความคิดและวิธีการของตัวเอง ซึ่งหมายความว่าครูสามารถที่จะคิดออกนอกกรอบได้ แต่ไม่ใช่คิดเตลิดเปิดเปิงออกไปจนเกินขอบเขตความเป็นครู อีกทั้งคนเป็นครูต้องมีจิตวิญญาณความเป็นครู ที่มีทั้งเสรีภาพและมีพลังที่จะก้าวออกจากความเป็นทาส อีกทั้งต้องเป็นผู้ที่มีสติสามารถแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ได้ เพราะคนเป็นครูต้องช่วยให้นักเรียนอดทน และสามารถแก้ปัญหาด้วยสติปัญญา อีกทั้งการเป็นครูนั้นย่อมมีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับผู้ปกครอง และสิ่งแวดล้อมด้านต่างๆ ดังนั้นครูจึงต้องเป็นผู้ที่พร้อมรับการตรวจสอบ ที่สำคัญในปัจจุบันนั้นมีครูจำนวนมากที่ขายจิตวิญญาณของความเป็นครูเพื่อแลกกับตำแหน่งหรือเงินตรา ดังนั้นครูที่มีจิตวิญญาณจึงเป็นผู้ที่ต้องมีความรัก ความผูกพันในหน้าที่ของตัวเองโดยไม่เห็นแก่ตัว”.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |