ไทย-ฮ่องกงปลื้ม เซ็น'MOU'6ฉบับ ตั้งเป้าการค้าพุ่ง


เพิ่มเพื่อน    


    "แคร์รี แลม" พบ "บิ๊กตู่" จูบปากชื่นมื่น! ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากมิตรแท้ ไทย-ฮ่องกง ลงนาม MOU 6 ฉบับ เสริมสร้างความร่วมมือและเชื่อมโยงอย่างรอบด้าน "สมคิด" ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2563
    เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 29 พฤศจิกายน ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางแคร์รี แลม ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับ และดีใจที่ได้มีโอกาสพบผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงอีกครั้ง รัฐบาลไทยติดตามสถานการณ์การชุมนุมประท้วงในฮ่องกงอย่างใกล้ชิด และขอให้กำลังใจกับทุกฝ่ายให้แก้ไขสถานการณ์ได้อย่างสันติวิธี ทั้งนี้ เชื่อมั่นในภาวะผู้นำของผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ซึ่งจะแก้ไขปัญหาโดยยึดมั่นถึงประโยชน์และอนาคตของชาวฮ่องกง 
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขอชื่นชมผลการประชุมระดับสูงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างไทย-เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ครั้งที่ 1 วันที่ 29 พ.ย. ที่ประสบความสำเร็จด้วยดี และขอบคุณที่รัฐมนตรีการค้าและพัฒนาเศรษฐกิจฮ่องกง ที่ได้นำคณะนักธุรกิจฮ่องกงกว่า 50 คน มาร่วมงานเมื่อวันที่ 28 พ.ย. 
    ด้านนางแคร์รี แลม กล่าวว่า ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากมิตรแท้ และเชื่อมั่นว่าสถานการณ์ในฮ่องกงจะคลี่คลายไปในทางที่ดีในเร็ววันนี้ และความสำเร็จจากการประชุมระดับสูงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างไทย-เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ครั้งที่ 1 จะส่งผลให้เกิดความร่วมมือสำคัญระหว่างไทย-ฮ่องกงในอนาคต    
    ทั้งนี้ ในช่วงเช้า นางแคร์รี แลม ได้เข้าหารือกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย โดยนายสมคิดให้สัมภาษณ์หลังการหารือว่า ได้ลงนามร่วมกันในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-ฮ่องกง และเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงต่างๆ จำนวน 6 ฉบับ ได้แก่ 
    1.ด้านการค้าและการลงทุน โดยทั้งสองฝ่ายยืนยันว่าจะร่วมกันผลักดันให้มูลค่าการค้าไทยและฮ่องกงบรรลุเป้าหมายที่ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563 ตามที่ได้ตั้งเป้าไว้เมื่อปี 2560 พร้อมทั้งเริ่มหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย-ฮ่องกง และการปรับปรุงความตกลงว่าด้วยการคุ้มครองการลงทุนของภาคเอกชนให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน
    2.ด้านการลงทุนและการโยกย้ายฐานการผลิต โดยทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนในการสร้างเครือข่าย การแลกเปลี่ยนการเยือนและการร่วมกิจกรรมระหว่างกัน โดยยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการทั้งสองฝ่าย รวมถึงส่งเสริมการดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมการผลิตและการโยกย้ายฐานการผลิตของวิสาหกิจฮ่องกงมายังไทย ซึ่งเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 ได้พบกับคณะนักลงทุนของฮ่องกง ที่นายเอ็ดเวิร์ด เยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และการพัฒนาเศรษฐกิจฮ่องกงเป็นผู้นำมา ซึ่งหลายบริษัทได้แสดงคืนความจำนงที่จะมาลงทุนในไทยต่อไป
    3.ด้านการเงิน โดยสองฝ่ายจะร่วมกันขับเคลื่อนการเชื่อมโยงตลาดหลักทรัพย์และตลาดทุนของกันและกัน ผ่านผลิตภัณฑ์การลงทุนชนิดใหม่ๆ เช่น การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศผ่านระบบตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ (ดีอาร์) การจดทะเบียนหลักทรัพย์ข้ามตลาดระหว่างกันในหลักทรัพย์ตัวสำคัญ ตลอดจนการทำกองทุนรวม และการส่งเสริมให้มีการลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น 
         4.ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยที่คนไทยและฮ่องกงต่างมีความสร้างสรรค์อย่างมาก อาทิ ในด้านภาพยนตร์ ละคร โฆษณา การออกแบบ ซึ่งสองฝ่ายจะร่วมกันพัฒนาและส่งเสริมให้มีการใช้ความสร้างสรรค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ โดยจะมีมาตรการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือของผู้ประกอบการ รวมถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสนับสนุนให้ต่างฝ่ายต่างเข้าร่วมกิจกรรมของกันและกัน ซึ่งจะมีการจัดทำแผนงานร่วมกันต่อไป
    5.ด้านการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (สตาร์ทอัพ) ด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี โดยทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญในการสร้างระบบนิเวศของการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และได้รับทราบถึงพัฒนาการที่เป็นรูปธรรมระหว่างฮ่องกง ไซเบอร์พอร์ต และบริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด และมีความพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือในลักษณะดังกล่าวให้มีมากขึ้น โดยจะร่วมกันสนับสนุนการดำเนินการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ การทำวิจัยร่วมการบ่มเพาะสตาร์ทอัพ ที่มีศักยภาพและการมีมาตรการ เพื่อส่งเสริมให้สตาร์ทอัพเข้าสู่ตลาดโลกได้ง่ายขึ้น
    6.ความร่วมมือดังกล่าว จะไม่ประสบผลสำเร็จ หากขาดความพร้อมด้านทรัพยากรบุคคล จึงเห็นพ้องให้ร่วมกันผลักดันความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้วย โดยเฉพาะด้านอาชีวศึกษาและการยกระดับทักษะแรงงานในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมการเกษตร และด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีวิศวกรรม และคณิตศาสตร์ และเพื่อส่งเสริมการไปมาหาสู่และการแลกเปลี่ยนระหว่างกันในระดับประชาชนทั้งสองฝ่าย ยังได้ร่วมกันตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยว 3 ล้านคนต่อปี ภายในปี 2564.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"