หนาวสะท้าน-เบ่งบานราวดอกไม้ไปกับ "สีสันดอยตุง ครั้งที่ 6"


เพิ่มเพื่อน    

(มุมสูงสวนแม่ฟ้าหลวง)

    ใครที่ถวิลหาหน้าหนาวเมืองไทย ปีนี้เทวดาฟ้าดินจัดให้อย่างเต็มพิกัด ขนาดกรุงเทพฯ และปริมณฑลยังหนาวสะใจ ต่ำสุด 13 องศา ภาคเหนือและอีสานไม่ต้องพูดถึง หนาวสะท้าน ถึงขั้นติดลบอย่างดอยอินทนนท์ ลบ 1 องศา และบางจังหวัดในภาคอีสาน ลบ 7 องศา
    ถ้าไปทางเหนือ โครงการพัฒนาดอยตุงฯ อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ก็มีสิ่งดึงดูดให้น่าไปมากๆ เพราะในช่วงเดือนธันวาคมไปจนถึงมกราคมปีหน้า มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดงาน “สีสันแห่งดอยตุง” ครั้งที่ 6 มาในคอนเซ็ปต์ Family-Friendly Festival (แฟมิลี่-เฟรนด์ลี่ เฟสติวัล) เรียกได้ว่าเป็นเทศกาลของทุกคนในครอบครัว ที่เราจะได้สัมผัสวิถีชนเผ่าทั้ง 6 ชนเผ่า ได้แก่ อาข่า ไทใหญ่ ไทลื้อ ไทลัวะ ลาหู่ และจีนยูนนานอีกด้วย มีกิจกรรมและสถานที่ให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของทุกเพศทุกวัย เหมาะกับทุกครอบครัว ทั้งยังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยมีการรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวช่วยกันแยกขยะเพื่อการกำจัดให้ถูกวิธีด้วย ซึ่งงานจะแบ่งออกเป็น 4 ช่วง ได้แก่ วันที่ 4-10 ธ.ค.62, วันที่ 14-15 ธ.ค.62, วันที่ 21 ธ.ค.62-5 ม.ค.63 และวันที่ 11-12 ม.ค.63

(ถ่ายรูปกับมวลหมู่ดอกไม้)

    เอาเถอะ แม้ข้อมูลนี้กว่าจะถึงมือผู้อ่านก็ผ่านช่วงแรกไปแล้ว แต่ยังมีอีก 3 ช่วงให้น่าไปเยือนไม่น้อย ไปหยิบเสื้อหนาวสวยๆ เตรียมไว้ถ่ายรูปคู่กับดอกไม้ที่สวยสดงดงาม ดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์ที่ถือได้ว่าเป็นจุดเด่นของที่นี่ เต็ม 2 วัน 1 คืน งานจะเริ่มตั้งแต่ 8 โมงเช้าไปจนถึง 6 โมงเย็น มีบริการรถกอล์ฟให้เช่าบริเวณด้านหน้าทางเข้างาน มีคนขับพาไปตามจุดต่างๆ ตามที่ซื้อตั๋ว 1,000 บาท 1/ชม. อีกส่วนคือรถกอล์ฟบริเวณต้นตุง คือ สำหรับรับ-ส่งลูกค้าดอยตุงลอดจ์เท่านั้น เราไม่รีรอ เลือกเดินเที่ยวงานที่มีทั้งหมด 4 โซน
    ที่จะแนะนำคือ โซนถ่ายรูปเช็กอิน ที่มีกว่า 10 จุดในสวนแม่ฟ้าหลวง มีแลนด์มาร์คคือ ประติมากรรมความต่อเนื่อง ที่ล้อมรอบด้วยดอกไม้ซึ่งจัดเป็นลายผ้าของชนเผ่าทั้ง 6 ทั้งหมดเป็นดอกไม้เมืองหนาวบนพื้นที่ราวๆ 10 ไร่ อาทิ ดอกพิทูเนีย ดอกชัลเวีย ดอกลำโพง ฯลฯ มีทั้งสีแดง เหลือง ชมพู ม่วง แข่งกันเบ่งบานอวดความสวยสดใสต้อนรับนักท่องเที่ยว แถมยังมีน้องๆ ชนเผ่าแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่ามาให้ถ่ายรูปด้วย และไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาดของปีนี้คือ ยักษ์ตัวโต มาสคอตสัตว์แห่งความโชคดีในตำนานของชาวไทยภูเขา สูงกว่า 9 เมตร ออกแบบโดยศิลปิน โลเล-ทวีศักดิ์ ศรีทองดี ที่สร้างสรรค์พี่ยักษ์ร่วมกับทีมช่างฝีมือดอยตุง มองไปก็เหมือนกับว่ามีคนคอยเฝ้ามองทุกคนที่มาเยือนด้วยความสุข

(ต้นรองเท้านารี)

    ใกล้ๆ กันก็มีมุมถ่ายภาพเก๋ๆ กับรังนกยักษ์ และที่นั่งเปลือกหอยยักษ์ ถ่ายกันให้หนำใจ เตรียมแค่เมมกล้องกับโทรศัพท์ความจุให้พอ ถ้าพาเด็กๆ มาด้วยก็มีสนามเด็กเล่นให้ได้วิ่งเล่นออกกำลังกายท่ามกลางดอกไม้ เดินต่อไปผ่านซุ้ม Morning Glory ชมสวนกล้วยไม้รองเท้านารี สถานที่เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและขยายพันธุ์กล้วยไม้หายาก ที่มีรองเท้านารีหลากพันธุ์หลายสีเลย เราใช้เวลาอยู่ตรงโซนนี้พอสมควร

(โซนอาหาร ข้าวฟืนทอด)

    มาต่อกันที่โซนอาหาร ที่มีทั้งร้านอาหารชนเผ่าแบบดั้งเดิม และอาหารเมนูอื่นๆ หลากสไตล์ ปรุงสดๆ ใหม่ๆ ท่ามกลางเนินเขา เข้ากับอากาศที่เย็นยะเยือก ถ้าแวะไปที่ร้านแรกก็พบกับเมนู ข้าวปุ๊ก ของชาวลาหู่ ที่มีให้ชิมเฉพาะเทศกาลพิเศษหรือปีใหม่ ต่อที่ข้าวฟืนทอด ทำจากแป้งข้าวเจ้าผสมถั่วเหลือง อาหารของชาวไทใหญ่ กินง่ายสบายท้อง เมนูไม่คุ้นหู ข้าวกั๊นจิ้น แต่ต้องลองเพราะเป็นเมนูยอดฮิตของชาวไทยภูเขา และไส้อั่วอาข่า ที่ทำจากเนื้อหมูดำ เมนู ซาจ๊อย เมนูประจำชนเผ่าลาหู่ ทำจากหมูหมักกับสมุนไพรในท้องถิ่นทำเป็นแฮมเบอร์เกอร์ อันนี้บอกเลยว่าถูกใจมากๆ แถมราคาก็ถูกมากด้วย เริ่มต้นที่ 10 บาท กินกันให้พุงกางไปเลย

(ซาจ๊อย ต้องลอง)

    ออกจากโซนอาหาร เดินลัดเลาะผ่านต้นตุง สัญลักษณ์ของที่นี่ มีร้านกาแฟ ร้านขายต้นไม้ ดอกไม้ ที่นั่งพักผ่อน ก็จะถึงโซนหัตถกรรมที่เราจะมาละลายทรัพย์ไปกับเสื้อผ้าชนเผ่าลาหู่ ที่มีเอกลักษณ์การต่อผ้าสืบทอดกันมาแต่โบราณ ผสมผสานการออกแบบและการจับคู่สีสมัยใหม่ดูเร้าใจ ชวนเคลิบเคลิ้ม อยากช็อปมาก
    ถัดไปอีกล็อก พบกับสีสันสดใสกับเสื้อผ้าชนเผ่าอาข่า ที่มีทั้งรูปแบบดั้งเดิมและประยุกต์ ยังมีย่าม หมวก และผ้าพันคอไหมพรม ตะกร้าเพนต์, หมวกไม้ไผ่, สายข้อมืออาข่า, สมุดโน้ต ฯลฯ ฝีมือเด็กนักเรียนโรงเรียนห้วยไร่สามัคคี ที่โชว์ไอเดียในงานฝีมือ พัฒนาผลิตภัณฑ์จากเศษผ้าที่เกิดขึ้นในโครงการพัฒนาดอยตุงฯ และอีกมากมาย รวมทั้ง Eco-Item (อีโคไอเทม) สไตล์ดอยตุง

(DoiTung Tree Top Walk)

    อีกหนึ่งโซนที่ต้องเก็บไว้หลังสุด เพราะเราจะมาเอาชนะความกลัวกับความสูง ที่ DoiTung Tree Top Walk ผจญภัยไปกับเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนสะพานเรือนยอดไม้ในป่าใหญ่ ความสูงจากพื้นดินกว่า 30 เมตร ระยะประมาณ 300 เมตร ราคาคนละ 150 บาท อุปกรณ์เซฟตี้มีให้พร้อม ก่อนจะไปเดินก็ต้องมีการให้ความรู้ในการใช้อุปกรณ์ จากนั้นเราก็จะเข้าสู่การเดินบนสะพานท่ามกลางเหล่าแมกไม้กัน บอกเลยว่าระยะทางเริ่มแรกชิลๆ แต่พอเข้าสู่เส้นทางตรงกลางป่าแอบมีเสียวนิดๆ แล้ว ไหนมือจะคอยกำราวเชือกให้มั่น ไหนขาที่สั่นตลอดเวลา ยิ่งตอนขึ้นลงบันไดจากต้นไม้นี่ กัดฟันสุดๆ แต่ดีที่ได้ลมเย็นๆ ที่พัดผ่านเหล่าต้นไม้น้อยใหญ่คอยปลอบประโลม มาถึงด่านสุดท้ายก็มีอยู่สองทางให้เลือก ระหว่างเดินต่อไปแบบเดิม หรือจะไปแบบซิปไลน์ ด้วยใจมุ่งมั่น เราเลือกเดินแบบเดิมที่สบายใจกว่า สิ้นสุดทางเดินแบบสวยงาม

(ฟอร์มูล่าดอย)

    เวลายังเหลือ ใครจะไปเวิร์กช็อปงานฝีมือจากวัสดุเหลือใช้ นวดดัดจัดสรีระคลายความเมื่อย ทั้งคอ บ่า ไหล่ หลัง ขา เพียง 80 บาท แค่ 10 นาที อันนี้เราไปลองมา เป็นการนั่งบนโต๊ะและนวด ดัดร่างกายตามจุดที่เราใช้งาน เอาเป็นว่าพอให้คลายเมื่อยได้ดีทีเดียว หรือเล่นกิจกรรมท้องถิ่นอย่าง ฟอร์มูล่าดอย ไม้ต่อขา สะบ้าดอย ก็เลือกได้ตามใจ รับรองว่าใช้เวลา 1 วันได้คุ้มมากๆ

(จุดให้เช่าชุดชนเผ่า)

    วันต่อมาเราไปกันที่ดอยช้างมูบ สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง จุดสูงสุดของดอยตุง เส้นทางเที่ยวเชื่อมต่อกับงานสีสันดอยตุง บอกเลยว่าอากาศดีมาก ที่นี่จะมีน้องๆ เยาวชนเผ่าต่างๆ จากศูนย์เด็กใฝ่ดีมาเป็นไกด์นำเที่ยวฟรี ทุกวัน เฉพาะช่วงงานสีสันดอยตุงนะ (ปกติจะมีเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์) ตั้งแต่ 09.00-16.00 น. มีชุดชนเผ่าให้เช่าด้วย 100 บาท/ชม. และเด็กสาวเผ่าอาข่า น้องซากุระ ก็เป็นคนนำเที่ยวเราในวันนั้น ด้วยความน่ารัก พูดจาฉะฉาน คล่องแคล่ว ทำให้พวกเราหลงเสน่ห์และตั้งใจฟัง เริ่มตั้งแต่แนะนำความเป็นมาของดอยตุง ดอกไม้ชนิดต่างๆ อย่างดอกสร้อยระย้าที่มีสีม่วงเป็นประกาย ดอกอาซาเลียสีชมพูสด สกุลเดียวกับดอกกุหลาบพันปี ดอกเดซี่สีม่วง ดอกลูกปัดออสเตรเลีย หรือตาเป็ดตาไก่ เดินมาถึงจุดพักก็จะมีชา-กาแฟร้อน FAIDEE Café ฝีมือบาริสต้าน้องๆ ในพื้นที่พอให้คลายความหนาว ลานหญ้ากว้างด้านล่างเป็นที่พักผ่อน นังฟังเสียงเพลงขับกล่อมจากวงดนตรีของน้องชนเผ่า

(จุดชมวิวสามแคว้น ไทย-ลาว-เมียนมา)

    ลัดไปตามไหล่เขาก็จะเจอกับอุโมงค์ซากุระ อุโมงค์นี้ในอดีตเคยลักลอบคนขนสิ่งผิดกฎหมายหลบหลีกจากสายตาทหารเพื่อข้ามไปยังฝั่งเมียนมา เดินขึ้นไปอีกนิดก็จะถึงจุดที่เป็นไฮไลต์ของดอยช้างมูบ คือ ต้นกุหลาบพันปี พันธุ์คำแดง ซึ่งสีแดงเป็นสีที่สมเด็จย่าโปรดมาก แต่ช่วงที่ไปอุณหภูมิยังไม่หนาวมากพอ ต้องต่ำกว่า 10 องศา กุหลาบถึงจะเบ่งบานมาให้ยลโฉม เดินต่อไปตามสะพานไม้ไผ่ เป็นทางเดินเชื่อมไปยังจุดที่เรียกว่า สะดือของดอยช้างมูบ ยอดดอยที่สูงที่สุด และจุดชมวิวสามแคว้นที่มองตรงไปด้านหน้าคือประเทศลาว ด้านซ้ายมือคือเมียนมา และขวามือคือประเทศไทย ระยะทางทั้งหมดประมาณ 2-3 กิโลเมตร แต่เชื่อเถอะคุณจะเดินเพลินๆ เพราะอากาศก็ดี ดอกไม้ก็สวย กิจกรรมก็เยอะ ไม่เบื่อเลย ผู้คนที่นี่ยังน่ารักมากๆ ด้วย

(สะดือดอยช้างมูบ)

    แค่บอกเล่าไม่พอ ต้องเดินทางไปสัมผัสถึงจะรู้ว่ามีความสุขและสนุก ราคาบัตรสำหรับ 4 สถานที่ (หอแห่งแรงบันดาลใจ พระตำหนักดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวง สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง) บุคคลทั่วไป 220 บาท นักเรียน-ผู้สูงอายุ-พระ-บุคคลพิเศษ 110 บาท ติดตามข่าวสารหรือสำรองห้องพักได้ที่ www.facebook.com/DoiTungClub โทร. 0-2252-7114 ต่อ 212, 213 เชียงราย โทร. 0-5376-7015 (เวลาทำการ จันทร์-ศุกร์).


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"