สสส.เจาะใจเด็กไทยเครียดเรื่องครอบครัวฆ่าตัวตายปีละ300ราย


เพิ่มเพื่อน    

        ผจก.สสส.มอบของขวัญปีใหม่ เจาะงานวิจัย 10 ประเด็นพฤติกรรมสุขภาพคนไทยปี 2563 จับตามองกลุ่มวัยเด็กและเยาวชนฆ่าตัวตายได้สำเร็จถึงปีละ 300 ราย ผลสำรวจช่วงวันอังคาร 4 ทุ่มและวันศุกร์ 1 ทุ่ม อยากฆ่าตัวตายมากที่สุด ปัญหาวัยรุ่นเครียดจากปัญหาความสัมพันธ์ภายในครอบครัว การกลั่นแกล้งรังแกบนโลกไซเบอร์ เด็ก 31% เคยถูกกลั่นแกล้งทางออนไลน์ 74% เห็นสื่อลามกอนาจารทางออนไลน์ จับตา E-sport กลายเป็นอาชีพสร้างรายได้และความบันเทิงนันทนาการใช้ชีวิตประจำวัน อุบัติเหตุทางถนนเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เด็กและเยาวชนที่อายุ 15-25 ปีเสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 10 คน กว่า 80% เสียชีวิตเพราะไม่สวมหมวกกันน็อก

      ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า 10 ประเด็นพฤติกรรมสุขภาพคนไทยปี 2563 ในกลุ่มวัยเด็กและเยาวชนมีประเด็นที่น่าจับตามอง “แค่เครียดหรือซึมเศร้า” ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตปี 2562 พบว่าทุก 1 ชั่วโมงจะมีคนพยายามฆ่าตัวตาย 6 ราย โดยมีกลุ่มเด็กเยาวชนที่ฆ่าตัวตายสำเร็จถึงปีละ 300 ราย และยังพบแนวโน้มการเข้ารับคำปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิตเพิ่มขึ้น สิ่งที่น่าสนใจจากกระแสบนโลกออนไลน์ พบว่าสาเหตุที่วัยรุ่นเครียดอันดับ 1 มาจากปัญหาความสัมพันธ์ โดยเฉพาะครอบครัว ตามด้วยเรื่องหน้าที่การงาน การถูกกลั่นแกล้ง และความรุนแรง ช่วงเวลาที่วัยรุ่นโพสต์ข้อความอยากฆ่าตัวตายมากที่สุดในสื่อทวิตเตอร์ คือวันอังคาร 4 ทุ่ม และวันศุกร์ 1 ทุ่ม

      วัยรุ่นในสังคมไทยต้องแบกรับความรู้สึกมากมาย ไม่เพียงแต่ความคาดหวังจากครอบครัวในเรื่องการศึกษาที่หลายครอบครัวตั้งเป้าหมายให้พวกเขาต้องเรียนให้เก่ง เป็นเลิศในทางวิชาการทุกด้าน และวัยรุ่นยังต้องเผชิญกับปัญหาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง  หากรับรู้ความรู้สึกได้ทันจะสามารถลดความเสี่ยงจากการคิดสั้นได้ถึง 50% “ภัยคุกคามออนไลน์ ยิ่งเสพติดออนไลน์ ยิ่งเสี่ยงสูง” เด็กเยาวชนยุค Gen Z ใช้เวลากับอินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 10.22 ชั่วโมง ผลสำรวจของ COPAT ร่วมกับมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย ในปี 2562 พบว่าเด็ก 31% เคยถูกกลั่นแกล้งทางออนไลน์ 74% เคยพบเห็นสื่อลามกอนาจารทางออนไลน์ และ 25% เคยนัดเพื่อนที่รู้จักในออนไลน์ ซึ่งผลจากงานวิจัยพบว่า เด็กที่ใช้เวลากับโลกออนไลน์มากยิ่งเสี่ยงต่อการถูกกลั่นแกล้ง และเป็นผู้กลั่นแกล้งทางออนไลน์ถึง 3 เท่า ดังนั้นสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัวและการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลจะช่วยป้องกันความเสี่ยงตั้งแต่ต้นทาง

      การกลั่นแกล้งรังแกบนโลกไซเบอร์ หรือ Cyber Bullying เป็นการกลั่นแกล้ง รังแกหรือคุกคามโดยเจตนาผ่านสื่อดิจิทัลหรือสื่อออนไลน์ ด้วยการใช้โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต ผู้กลั่นแกล้งจะส่งข้อความหรือรูปภาพผ่าน SMS กล่องข้อความและแอปพลิเคชัน หรือส่งผ่านออนไลน์ในโซเชียลมีเดีย กระดานสนทนา หรือเกมออนไลน์ที่ผู้ใช้สามารถเปิดดู มีส่วนร่วมหรือแบ่งปันเนื้อหาได้ การกลั่นแกล้งลักษณะนี้มักทำซ้ำๆ ไปยังเหยื่อหรือผู้ที่ถูกกลั่นแกล้ง โดยผู้รังแกจะเปิดเผยหรือปิดบังตนเองก็ได้ ด้วยวิธีการส่งโพสต์หรือแชร์ข้อมูลด้านลบ เป็นเท็จ หยาบคายและทำร้ายจิตใจผู้อื่น

      ในบางกรณีการกลั่นแกล้งบนโลกไซเบอร์ รวมถึงการแชร์ข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่นโดยมีเจตนาเพื่อทำให้เจ้าตัวอับอายหรือทำลายชื่อเสียง บางครั้งการปฏิบัติต่อผู้อื่นโดยไม่เจตนาหรือไม่สุภาพเพียงครั้งเดียว ไม่อาจถือว่าเป็นการกลั่นแกล้งได้ คุณลักษณะที่สำคัญของการกลั่นแกล้งบนโลกไซเบอร์ คือเป็นการกระทำที่จงใจและกระทำต่อผู้ถูกกระทำซ้ำๆ หลายครั้ง ข้อมูลจาก Office of the eSafety Commissioner ของออสเตรเลีย พบว่า ในปี 2560 เด็กถึง 1 ใน 5 ได้รับผลกระทบจากการกลั่นแกล้งบนโลกไซเบอร์

      การแกล้งบนโลกไซเบอร์เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เหยื่อหลบหลีกไม่ได้ มีผู้ร่วมรับรู้ในวงกว้างผ่านโลกออนไลน์ ผู้กลั่นแกล้งปกตัวตนที่แท้จริง ผลกระทบที่เหยื่อได้รับไม่อาจรู้ได้ ไม่มีข้อจำกัดเงื่อนไขในเชิงพื้นที่ ผู้ถูกกลั่นแกล้งเป็นเป้าหมายของการรังแกได้ง่าย

      เมื่อศึกษาพฤติกรรมการกลั่นแกล้งทางออนไลน์กับความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว ครู และเพื่อน ในกลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษาใน กทม. ปี 2562 โดย ผศ.นพ.คมสันต์ เกียรติรุ่งฤทธิ์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าเด็กนักเรียนใน กทม. 1 ใน 4 เคยเป็นเหยื่อการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ เป็นผู้กลั่นแกล้ง 7% และเคยเป็นทั้งเหยื่อและผู้กลั่นแกล้ง 24% ในการกลั่นแกล้งรังแกบนโลกไซเบอร์ วัยรุ่นส่วนใหญ่ 92% เคยพบเห็นการรังแกบนโลกไซเบอร์ โดยมีเพียง 35% ที่เข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ถูกกลั่นแกล้ง ในขณะที่ 26% เพิกเฉยต่อการกลั่นแกล้ง และมีถึง 28% ที่เข้าไปซ้ำเติมผู้อื่น

      ผลของการศึกษายังพบว่า คนที่ติดสังคมออนไลน์มากมีแนวโน้มจะเป็นผู้กลั่นแกล้งผู้อื่นบนโลกไซเบอร์มากกว่าคนที่ไม่ติดออนไลน์ถึง 3 เท่า ในทางกลับกันผู้ที่ติดสังคมออนไลน์มากก็มีแนวโน้มจะเป็นผู้ถูกกลั่นแกล้งบนโลกไซเบอร์ และยังมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้กดไลค์/แชร์ข้อความ รูปภาพหรือคลิปที่กำลังถูกแกล้งบนโลกไซเบอร์มากกว่าคนที่ไม่ติดออนไลน์ถึง 2 เท่า

      ข้อที่น่าสังเกตก็คือความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กและผู้ปกครอง กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยปกป้องเด็กและเยาวชนจากการถูกกระทำบนโลกออนไลน์ได้ถึง 1 เท่า และเป็นกลุ่มที่ให้ความช่วยเหลือด้วยการโพสต์ให้กำลังใจผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งทางออนไลน์มากที่สุด

      “กลัวท้องมากกว่าติดโรค” อัตราการคลอดของแม่วัยรุ่นลดลงก็จริง แต่อัตราการติดโรคทางเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว โดยเฉพาะโรคซิฟิลิสและหนองใน สาเหตุสำคัญคือไม่ใส่ถุงยางทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ จากข้อมูลสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ในปี 2561 พบว่านักเรียน ม.5 และ ปวช.2 เมื่อมีเพศสัมพันธ์กับแฟนมีการใช้ถุงยางทุกครั้งไม่ถึง 50% ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ใช้ถุงยาง 100% ทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับพนักงานบริการหญิงหรือชายอื่น เหตุผลที่วัยรุ่นไม่ใช้ถุงยางเมื่อเจาะลึกในโลกออนไลน์ก็คือ ถุงยางราคาแพง อายไม่กล้าซื้อใช้วิธีอื่น เช่น ฝังยาคุม ดังนั้นเพื่อลดการติดโรค สสส.จึงร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ผลักดันให้ปี 2563 คนไทย 90% ต้องเข้าถึงถุงยางอนามัย “E-Sport” กลายเป็น 1 ใน 5 อาชีพในฝันของเด็กไทย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็น Professor ได้ การศึกษาพบว่าวินัยและการแบ่งเวลาเป็นเส้นแบ่งสำคัญระหว่างนักกีฬามืออาชีพกับเด็กติดเกม นอกจากนี้ยังพบปัญหาการพนันออนไลน์ที่แฝงมาพร้อมกับการแข่งขัน  

      “ชีวิตบนท้องถนน ทางเลือกทางรอดในการเดินทาง” แม้แนวโน้มการใส่หมวกกันน็อกจะเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ถึง 50% โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นมีแนวโน้มใส่หมวกกันน็อกลดลงจาก 32% ในปี 2553 เหลือเพียง 22% ในปี 2561 ในขณะที่เด็กเล็ก 92% ไม่ใส่หมวกกันน็อก และยังพบแนวโน้มการบาดเจ็บและเสียชีวิตในกลุ่มเด็กและเยาวชนจากมอเตอร์ไซค์เคลื่อนย้ายจากภาคที่มีรายได้สูงไปยังภาคที่มีรายได้ต่ำกว่าในปี 2563

      สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดทำหนังสือ Thai Health WATCH 2020 จับตาทิศทางสุขภาพคนไทยปี 2563 อุบัติเหตุทางถนนเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร คือการเสียชีวิตก่อนอายุค่าเฉลี่ยสำหรับชายไทย 80 ปี หญิงไทย 82.5 ปี ข้อมูลปี 2557 คนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 10.1 ล้านคน โดยเฉพาะเพศชาย อุบัติเหตุทางถนนเป็นสาเหตุอันดับหนึ่ง (20%) โดยเฉพาะวัย 15-29 ปี คือวัยรุ่นจนถึงวันทำงานตอนต้น ส่วนเพศหญิงเป็นสาเหตุอันดับ 3 เฉลี่ยใกล้เคียงกับทุกช่วงอายุ

      สาเหตุการเสียชีวิตหลังเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนส่วนหนึ่งเกิดจากการบาดเจ็บที่ศีรษะของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ มูลนิธิเมาไม่ขับเคยเปิดเผยข้อมูลว่า ในปี พ.ศ.2559 มีเด็กและเยาวชน หมายถึงประชากรที่อายุระหว่าง 15-25 ปี เสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 10 คน กว่า 80% เสียชีวิตเพราะไม่สวมหมวกกันน็อก หมวกกันน็อกเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยลดความสูญเสียผ่านการป้องกันและลดความรุนแรงจากการบาดเจ็บที่ศีรษะ แต่ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมผุ้ใช้รถจักรยานยนต์ไม่ว่าจะขับขี่เองหรือซ้อนท้ายถึงไม่นิยมสวมหมวกกันน็อก คนไทยใส่หมวกกันน็อกเพียง 50% เท่านั้น

      การรณรงค์ให้พ่อแม่สวมหมวกกันน็อกให้กับลูกทุกครั้งที่นั่งรถจักรยานยนต์ เพราะสถิติเด็กเพียง 8% และวัยรุ่น 22% เท่านั้นที่สวมหมวกกันน็อก ยังมีโอกาสเพิ่มอัตราส่วนการสวมหมวกกันน็อกให้กับเด็กได้อีกมาก อุบัติเหตุทางถนนสร้างความสูญเสียได้ใกล้ตัวมากกว่าที่หลายคนคิด ภาครัฐสร้างระบบขนส่งสาธารณะให้ครอบคลุม กวดขันการบังคับใช้กฎหมายหรือสร้างกลไกป้องก้นอุบัติเหตุ ภาคประชาชนมีส่วนรช่วยแก้ไขปัญหาป้องกันคนใกล้ตัว

      องค์การอนามัยโลก (WHO) แจงข้อมูลในปี พ.ศ.2561 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตบนท้องถนนรวมกัน 22,491 คน คิดเป็น 32.7 คน:ประชากรแสนคน สูงที่สุดในอาเซียนและมากกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งโลกคือ 18. 2คน :ประชากรแสนคนอยู่เกือบเท่าตัว โดยกว่า 74% เสียชีวิตจากยานพาหนะสองล้อและสามล้อ ซึ่งส่วนใหญ่หมายถึงรถจักรยานยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ ทั้งในฐานะคนขี่และคนซ้อน (Global status report on road safety 2018 WHO)

      คนไทยคุ้นชินกับ 7 วันอันตรายที่หน่วยงานของรัฐรณรงค์และกวดขันการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อลดจำนวนอุบัติเหตุทางถนน รวมไปถึงลดจำนวนคนเจ็บและคนตายทั้งในช่วงเทศกาลสงกรานต์และเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แต่ความจริงก็คือคนไทยเสียชีวิตบนท้องถนนกันทั้งปี ถ้าดูค่าเฉลี่ยการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในช่วง 7 วันอันตราย ตอนเทศกาลปีใหม่ปี 2561 อยู่ที่วันละ 66 คน สูงกว่าค่าเฉลี่ยการเสียชีวิตทั้งปีที่ WHO รวบรวมอยู่ที่ 62 คนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

      ประเด็นทางสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อสุขภาพที่น่าจับตา “ชีวิตติดฝุ่นอันตราย” PM 2.5 เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 5 ของประชากรทั่วโลกในปี 2558 องค์การอนามัยโลกประกาศให้ปี 2559 ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศ 7 ล้านคน ซึ่ง 91% เกิดในประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกตะวันตก หากดูจากค่าความเข้มของฝุ่น PM 2.5 ใน กทม.ย้อนหลังจะพบแนวโน้มฝุ่นพิษเกิดขึ้นในช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. เด็กและผู้สูงอายุจัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง จึงได้ร่วมกับเครือข่ายอากาศสะอาดประเทศไทยจัดทำข้อเสนอแนะในการจัดการฝุ่นตั้งแต่ต้นทางทั้งเขตเมืองภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม

ภาพ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

บรรยายภาพ

1.(e-sports) E-sportกลาย เป็นอาชีพสร้างรายได้และความบันเทิงนันทนาการใช้ชีวิตประจำวัน

2.(ซึมเศร้าในวัยรุ่น) ปัญหาเด็กซึมเศร้าในวัยรุ่น

3.(กัญชา) ปัญหากัญชาที่ยังเป็นปัญหาในสังคมปัจจุบัน

4.(วัยรุ่นกับถุงยาง) การใช้ถุงยางในวัยรุ่นเพื่อป้องกันวัยใสท้องก่อนวัยอันควรและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

5.(ใส่หน้ากากอนามัย) เพื่อป้องกันฝุ่น PM 2.5 คนไทยวันนี้ต้องใส่หน้ากากอนามัย

6.(Thaihealth Watch2020) ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผจก.สสส.และผู้บริหาร สสส.ในวันแถลงข่าว

7.(Thaihealth Watch2020) ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผจก.สสส.นำทีม

8.(Banner) 10 ประเด็นสำคัญ

9.(Thaihealth Watch2020) จับตาทิศทางสุขภาพคนไทยปี 2563

10.(เด็กไม่ใส่หมวกกันน็อก) เด็กไม่ใส่หมวกกันน็อกเมื่อซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์

     

 

สสส.Thaihealth2

(ล้อมกรอบ)

หมวกกันน็อกเด็กหาซื้อยาก 79%

      ถึงแม้ว่าตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงกฎกระทรวงฉบับปี พ.ศ.2535 จะกำหนดโทษของผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถจักรยานยนต์ที่ไม่สวมหมวกกันน็อกหรือหมวกนิรภัย ปรับเงิน 500 บาท ถ้าเป็นผู้ขับขี่และไม่ให้ผู้โดยสารใส่หมวกกันน็อกจะปรับเพิ่มอีกเท่าตัวเป็น 1,000 บาท รวมถึงภาครัฐออกมารณรงค์การสวมหมวกกันน็อกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานับสิบปี โดยเฉพาะปี พ.ศ.2554 รัฐบาลเดินหน้าโครงการสวมหมวกนิรภัย 100% ทั้งผ่านการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ การบังคับใช้กฎหมายจับ-ปรับ ไปจนถึงการแจกหมวกนิรภัยให้ใช้ฟรีนับแสนใบ

      สสส.มูลนิธิไทยโรดส์ เครือข่ายเฝ้าระวังสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนนสำรวจจัดทำต่อเนื่องระหว่างปี พ.ศ.2553-2561 โดยสำรวจผู้ใช้รถจักรยานยนต์รวม 1.53 ล้านคัน ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่าแนวโน้มการสวมหมวกนิรภัยของคนไทยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยยังไม่ถึงครึ่งหนึ่ง นับรวมทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ระหว่างปี พ.ศ.2553-2561 เฉพาะผู้ขับขี่สวมหมวกนิรภัยลดลงจาก 53% เป็น 52% เฉพาะผู้โดยสารสวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นจาก 19% เป็น 22% ถ้านับรวมทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่สวมหมวกนิรภัยจะเพิ่มจาก 44% เป็น 45%

      ปี พ.ศ.2561 คนในเขตชุมชนเมืองหลัก (กทม.และชุมชนเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของจังหวัด) จะสวมหมวกกันน็อกถึง 87% มากกว่าเขตชุมชนเมืองรอง 45% และเขตชนบท 31% โดยทุกภาคอัตราการสวมหมวกกันน็อกเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

      เมื่อแยกตามวัย ผู้ใหญ่จะสวมหมวกนิรภัย 48% มากกว่าวัยรุ่น 22% และเด็ก 8% เมื่อย้อนดูสาเหตุการเสียชีวิตของวัยรุ่นและเด็กจากอุบัติเหตุทางถนนส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะ 80% ไม่สวมหมวกกันน็อก การไม่สวมหมวกกันน็อกเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตเมื่อเผชิญกับอุบัติเหตุทางถนน จึงเกิดคำถามว่าทำไมเด็กและวัยรุ่นถึงไม่ค่อยใส่หมวกกันน็อก

      เมื่อมีการสำรวจและได้คำตอบผ่านโซเชียลมีเดีย มีการให้เหตุผลถึงการไม่ใส่หมวกกันน็อกระหว่างวัยรุ่นและเด็กที่แตกต่างกันอยู่ ทั้งนี้ Wisesight รวบรวมข้อมูลที่มีการพูดถึงเหตุผลที่ไม่สวมหมวกกันน็อกบนโลกออนไลน์ระหว่างเดือน ก.ค.2561-เดือน มิ.ย.2562 จำนวน 1.42 หมื่นข้อความ พบว่าวัยรุ่นซึ่งมีทั้งผู้ขับขี่เองและเป็นผู้โดยสาร เดินทางในระยะใกล้ๆ ขี้เกียจใส่ ใส่ตอนกลางคืน มองทางไม่เห็น ใส่แล้วร้อน โดนขโมยหมวกกันน็อก ผมเสียทรง ผมเปียก แต่เหตุผลที่น่าสนใจก็คือเป็นความเคยชินของเด็กต่างจังหวัดที่จะไม่ใส่หมวกกันนอก รวมไปถึงความเชื่อที่ว่าถ้าอายุไม่ถึง 18 ปี ถึงถูกตำรวจจับสุดท้ายก็ต้องปล่อยตัวออกมา

      เด็กที่ส่วนมากเป็นผู้โดยสารและมีผู้ใหญ่หรือผู้ปกครองขับขี่ให้ เหตุผลอันดับ 1 คือ หมวกกันน็อกเด็กหาซื้อยาก 79% ใส่แล้วมองไม่เห็น 6% น้ำหนักไม่เหมาะกับเด็ก 6% ขนาดไม่เหมาะกับเด็ก 5% และยังมีการตั้งคำถามว่าเด็กเล็กจำเป็นต้องสวมหมวกกันน็อกจริงหรือไม่ รวมถึงขนาดและน้ำหนักของหมวกกันน็อกที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็ก

      ภาพที่เราเห็นจนชินตาที่พ่อแม่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งลูกเข้าโรงเรียนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล สะท้อนประเด็นปัญหาว่าเด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 6 ปี ควรจะให้ซ้อนมอเตอร์ไซค์หรือไม่ นั่งซ้อนสามคนได้ไหม เพราะกฎหมายจราจรให้นั่งมอเตอร์ไซค์ได้แค่ 2 คนเท่านั้น ถ้านั่ง 2 คนควรจะให้นั่งด้านหน้าหรือด้านหลังถึงจะปลอดภัย เพราะมอเตอร์ไซค์ออกแบบมาให้นั่งซ้อนท้าย “ในต่างประเทศมีกฎหมายกำหนดให้เด็กจะนั่งมอเตอร์ไซค์ได้ก็ต่อเมื่อเท้าถึงที่วางเท้าเท่านั้น”

      แม้บางคนจะดัดแปลงให้มอเตอร์ไซค์มีที่นั่งสำหรับเด็กคล้ายกับจักรยาน แต่ผู้ผลิตก็เคยออกมายืนยันว่าไม่ได้สร้างมอเตอร์ไซค์ให้ทำเช่นนั้นได้ เนื่องจากมอเตอร์ไซค์จะมีความเร็วมากกว่าจักรยาน คนที่จะรอดได้เวลาเกิดอุบัติเหตุคือคนที่หลุดจากตัวรถเท่านั้น แต่ถ้ายังติดอยู่ในรถจะถูกแรงกระแทกที่หนักขึ้น ส่วนหมวกกันน็อกสำหรับเด็กปัจจุบันผลิตขึ้นมาสำหรับเด็กที่มีอายุมากกว่า 2 ปีเท่านั้น เพราะถ้าอายุต่ำกว่านั้นหมวกจะหนักจนเกินไป.

 

(ล้อมกรอบ)

ข้อกำหนดการนั่งบนรถจักรยานยนต์ของเด็กในชาติต่างๆ

      เป็นที่น่าสังเกตถึงเรื่องข้อกำหนดเรื่องการนั่งบนรถจักรยานยนต์ของเด็กในชาติต่างๆ ออสเตรีย ต้องอายุเกิน 12 ปี และเท้าถึงที่วางเท้า ออสเตรเลีย ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปีนั่งเด็ดขาด จีน ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีนั่งเด็ดขาด เดนมาร์ก ต้องอายุเกิน 5 ปี แต่เด็กที่สูงน้อยกว่า 135 เซนติเมตรต้องนั่งในที่นั่งพิเศษ ทุกคนต้องใส่หมวกกันน็อก เยอรมนี เด็กอายุต่ำกว่า 7 ปีต้องนั่งในที่พิเศษ อิตาลี ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีนั่งเด็ดขาด สเปน ต้องอายุเกิน 7 ปี และต้องใส่หมวกกันน็อก สวีเดน ต้องอายุเกิน 7 ปี และห้ามนั่งด้านหน้าผู้ขี่เด็ดขาด เบลเยียม ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปีนั่งเด็ดขาด อายุระหว่าง 3-8 ปีให้นั่งในที่พิเศษ และทุกคนต้องใส่หมวกกันน็อก ฝรั่งเศส เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีต้องนั่งในที่นั่งพิเศษซึ่งมีที่จับและที่วางเท้า เด็กอายุเกิน 5 ปีต้องเท่าถึงที่วางเท้า ทุกคนต้องใส่หมวกกันน็อกและใส่ถุงมือ เนเธอร์แลนด์ ไม่กำหนดอายุขั้นต่ำ แต่ต้องสวมหมวกกันน็อก สหราชอาณาจักร ไม่มีข้อกำหนดเรื่องอายุ แต่ต้องเท่าถึงที่วางเท้าและต้องสวมหมวกกันน็อก สหรัฐอเมริกา กำหนดอายุขั้นต่ำในบางรัฐ วอชิงตัน (5 ปี ลุยเซียนา (5 ปี) เทกซัส (5 ปี ยกเว้นนั่งมาในรถพ่วงข้าง) ฮาวาย (7 ปี) อาร์คันซอ (8 ปี) รัฐส่วนใหญ่กำหนดว่าผู้เดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ทุกคนต้องใส่หมวกกันน็อก. 

1.(หมวกต่างแดน) ตัวเลขการใช้หมวกกันน็อกในเด็กประเทศต่างๆ

2.(หมวก) หมวกกันน็อก

 

อุบัติเหตุทางถนนสูญเสีย5.4-5.6แสนล้านบาท

      หนังสือพิมพ์ The New York Times เจาะสกู๊ปภาษาไทยเป็นครั้งแรกเรื่อง Thailand’s Roads Are Deadly Especially if You 're Poor หรือถนนในเมืองไทยเป็นถนนที่อันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นคนจน เผยแพร่ข่าวนี้เดือน ส.ค.2562 สรุปคือ คนที่มีรายได้น้อยมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับอุบัติเหตุบนท้องถนนมากกว่าคนที่มีรายได้สูงกว่า ด้วยเหตุผลระบบขนส่งสาธารณะยังไม่ทั่วถึง คนจนมีเงินพอซื้อมอเตอร์ไซค์ หมวกกันน็อกดีๆ มีราคาแพง

      สถิติความตายเพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนของ WHO ในปี 2561 มีเพียง 12% ที่เกิดขึ้นกับผู้ที่โดยสารรถยนต์ส่วนบุคคลที่มีสี่ล้อขึ้นไป ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับคนเดินเท้าหรือผู้โดยสารรถจักรยานยนต์ คนไทยที่อาศัยอยู่ใน กทม.และปริมณฑลมีระบบขนส่งสาธารณะพร้อมที่สุดในประเทศไทยเพียง 35% เท่านั้นที่เข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ คนที่พอมีฐานะจะซื้อรถยนต์ส่วนบุคคล 40% คนจำนวนหนึ่งเลือกใช้รถจักรยานยนต์ส่วนตัวในการเดินทาง 24% ยานพาหนะที่เรียกว่าเนื้อหุ้มเหล็กพิสูจน์แล้วว่าเป็นการเดินทางที่มีความเสี่ยงสูง

      สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ณัชชา โอเจริญ ประเมินตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากความสูญเสียเพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนเมื่อปี พ.ศ.2560 ประเมินจากความเต็มใจที่จะจ่ายเพื่อลดอุบัติเหตุในพื้นที่คิดเป็นกรณีเสียชีวิต 10 ล้านบาท บาดเจ็บ 3 ล้านบาท อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนปี 2554-2556 ในแต่ละปีมีความสูญเสียทางเศรษฐกิจเพราะอุบัติเหตุทางถนน 5.4-5.6 แสนล้านบาท หรือ 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ GDP.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"