ปีแห่งความท้าทาย


เพิ่มเพื่อน    

                แม้ว่าจะเริ่มปี 2563 เพียงแค่ไม่กี่วัน แต่ก็มีหลายสถานการณ์ที่ค่อนข้างตึงเครียด และอาจมีผลทางด้านการค้าและธุรกิจ แน่นอนว่าเป็นปีที่ไม่เรียบง่ายนัก ยังคงมีหลายปัจจัยที่เต็มไปด้วยความท้าทายกับเจ้าของกิจการอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีผู้ประกอบการเดินหน้าลงทุน โดยมีเวียดนาม ออสเตรเลีย สิงคโปร์เป็นเป้าหมายหลักของการลงทุน โดยผู้บริหารยังเชื่อมั่นว่ารายได้จะเติบโต และส่วนใหญ่มีแผนในการยกระดับทักษะของพนักงานเพื่อรับมือการเข้ามาของดิจิทัลควบคู่กันอีกด้วย

                ศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงาน Doing business across borders in Asia Pacific 2019-2020 ของ PwC ที่ได้ทำการสำรวจผู้บริหารในกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก จำนวนมากกว่า 1,000 รายใน 21 เขตเศรษฐกิจ ว่า ความท้าทายในการประกอบธุรกิจในปี 2563 จะมีมากขึ้น โดย 25% ของผู้บริหารที่ถูกสำรวจคาดว่าความท้าทายในการจ้างแรงงานต่างชาติจะเพิ่มขึ้น ขณะที่ 26% มองว่าการให้หรือรับบริการข้ามพรมแดนจะเจอกับอุปสรรคที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน และ 24% มองว่าการเคลื่อนย้ายข้อมูลจะยิ่งกลายเป็นความท้าทายสำคัญในปีหน้า

                ขณะเดียวกัน ผู้นำธุรกิจยังได้เรียกร้องให้หน่วยงานกำกับและผู้นำของประเทศในกลุ่มเอเปก หันมาปรับเปลี่ยนนโยบาย ที่อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการเติบโตของธุรกิจ โดย 44% ของผู้บริหารระบุว่า การลดภาษีศุลกากร หรือการมีแนวทางการแก้ปัญหาความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ชัดเจน จะช่วยธุรกิจพวกเขาได้มากที่สุด แต่แม้จะมีความกังวลดังกล่าว ผู้นำธุรกิจเอเปกยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตขององค์กร โดย 34% แสดงความเชื่อมั่นมากว่ารายได้ของธุรกิจในปีหน้าจะเติบโต ซึ่งถือเป็นอัตราที่ลดลงเล็กน้อยเท่านั้นจาก 35% ในการสำรวจเมื่อปี 2561

                เวียดนามยังคงเป็นประเทศที่เป็นเป้าหมายหลักของการลงทุนจากต่างประเทศมากที่สุด โดยออสเตรเลียตามมาเป็นอันดับที่ 2 และสิงคโปร์เป็นอันดับที่ 3 ซึ่งนี่ยังถือเป็นครั้งแรกที่ทั้งสหรัฐและจีนไม่ติด 3 อันดับแรกนับตั้งแต่ปี 2558 ที่ PwC เริ่มทำการวิเคราะห์ประเทศที่ถูกจัดให้เป็นเป้าหมายของการลงทุนจากต่างประเทศ

                รายงานยังพบอีกว่า มีข่าวดีเกี่ยวกับผลกระทบของระบบอัตโนมัติต่องาน โดย 36% ของผู้นำธุรกิจเอเปกระบุว่า กำลังสร้างตำแหน่งงานใหม่ๆ อันเป็นผลมาจากการเข้ามาของระบบอัตโนมัติ ขณะที่มีเพียง 24% ที่ลดจำนวนพนักงาน โดยช่องว่างนี้แคบลงกว่าปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีธุรกิจจำนวนมากขึ้นที่ระบุว่ากำลังปรับบทบาทและความรับผิดชอบของงานใหม่

                แต่ในขณะที่ผู้บริหารกำลังสร้างตำแหน่งงานมากขึ้น  พวกเขาก็กำลังเผชิญกับปัญหาในการหาบุคลากรที่จะมาทำงานในตำแหน่งนั้นๆ เช่นกัน โดย 23% ระบุว่าการสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถอย่างที่ต้องการนั้นเป็นเรื่องที่ยาก ในบางตลาดยังต้องเผชิญกับอุปสรรคที่เพิ่มขึ้นจากการเคลื่อนย้ายแรงงานด้วย ผู้บริหารจึงมีแผนที่จะเพิ่มการลงทุนเพื่อยกระดับทักษะแรงงานของตน โดย 86% ระบุว่าพวกเขาจะเพิ่มงบประมาณในการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลในปี 2563

                นอกจากนี้ ผู้นำธุรกิจทั่วทั้งเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่เล็งเห็นถึงความจำเป็นของการเพิ่มกฎระเบียบข้อบังคับเพื่อสร้างความไว้วางใจต่อสาธารณชนในด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ 72% ความปลอดภัยทางไซเบอร์ 76% และความเป็นส่วนตัว 70% โดยความต้องการให้มีการผลักดันในการวางกรอบนโยบายในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน สะท้อนให้เห็นว่าผู้นำธุรกิจเอเปกให้ความสำคัญต่อการประยุกต์ใช้ระบบอัตโนมัติขั้นสูงและเอไอ โดย 37% ของผู้บริหารระบุว่า เอไอและระบบอัตโนมัติเป็นภารกิจสำคัญสำหรับผู้บริหารระดับสูง และ 49% บอกว่าเป็นภารกิจสำคัญในระดับฝ่ายงานหรือไอที โดยมี 12% ของผู้นำธุรกิจเอเปกเท่านั้นที่มองว่าเอไอและระบบอัตโนมัติไม่ใช่ปัจจัยสำคัญสำหรับธุรกิจของพวกเขาในอีก 2 ปีข้างหน้า.

รุ่งนภา สารพิน


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"