‘ชวน’ยืนยันไม่มีทางตัน! ปชป.ด่าลั่นลิ่วล้อรัฐบาล


เพิ่มเพื่อน    

 "ชวน" ให้รอฟังศาลรัฐธรรมนูญกรณี ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน ยันทุกอย่างไม่มีทางตัน แม้งบประมาณแผ่นดินล่าช้า แต่ทุกอย่างก็ต้องแก้ไปตามที่กฎหมายเปิดช่องให้ทำ เด็ก ปชป.เปิดศึกเกาเหลาพรรคร่วมรัฐบาล "เชาว์" ด่าลั่นมีลิ่วล้อรัฐบาลออกมาปกป้อง เล่นคำ เอาสีข้างเข้าแถช่วยเหลือ ส.ส.เหล่านี้ ทำให้บ้านเมืองอยู่ในสภาพหลักการเปลี่ยนได้เพื่อพวกตัวเองอย่างน่าสังเวชใจยิ่ง อดีตที่ปรึกษา กรธ.ยืนยันไม่มีทางที่ พ.ร.บ.งบฯ จะเป็นโมฆะทั้งฉบับ

    เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการสอบสวนเอาผิดกรณีที่มี ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน ระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ว่าเบื้องต้นได้ส่ง 2 คำร้องตามที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและ ส.ส.ฝ่ายค้านเข้าชื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 ที่มีการเสียบบัตรแทนกันชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คงต้องรอฟังศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนกรณีที่ปรากฏภาพ ส.ส.หญิงพรรคพลังประชารัฐเสียบบัตรแทนกันนั้น ยืนยันว่าสภาจะตรวจสอบทุกกรณี แต่ในกรณีที่เจ้าตัวไม่อยู่ในห้องประชุม แต่ปรากฏว่าลงคะแนน ถือว่าเป็นปัญหาแน่นอน 
    ประธานสภาผู้แทนฯ เผยว่า กรณีที่เจ้าตัวอยู่ แต่ให้เพื่อน ส.ส.เสียบบัตรให้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้น ก็ต้องดูที่เจตนา ซึ่งสภาจะต้องสอบข้อเท็จจริงต่อไปว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร จะมีความผิดทางอาญาหรือต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือไม่ ตนจะพิจารณาจากผลสอบสวนที่ออกมาว่าเป็นอย่างไร เข้าข่ายประมวลจริยธรรมหรือไม่ 
    “เรื่องนี้โดยหลักการแล้ว แม้จะอยู่ในห้องประชุมก็ควรเสียบบัตรด้วยตนเอง แม้ห้องประชุมจะมีข้อจำกัดเรื่องที่นั่งและช่องเสียบบัตรที่ไม่เพียงพอ แต่ไม่ว่าเครื่องมือจะเป็นอย่างไร หาก ส.ส.มีความรับผิดชอบ เรื่องทำนองนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ส.ส.ทุกคนควรระวังตัว และใช้กรณีนี้เป็นบทเรียน” 
     ส่วนที่มีความเห็นให้ออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการบังคับใช้งบประมาณฯ ปี 2563 นั้น นายชวน กล่าวว่า เมื่อเกิดปัญหาแล้วก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหากันต่อไป ทุกอย่างไม่มีทางตัน แม้ว่ากรณีนี้อาจจะทำให้งบประมาณแผ่นดินล่าช้า แต่ทุกอย่างก็ต้องแก้ไปตามที่กฎหมายเปิดช่องให้ทำ โดยขณะนี้ทำได้แค่เพียงรอว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร 
    "ไม่สามารถพูดแทนศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่ยืนยันได้ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางตันแน่นอน ทุกอย่างต้องว่าไปตามกฎหมาย สภาไม่ต้องเตรียมทางออกไว้ เพราะกฎหมายงบประมาณเป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะเป็นผู้ดำเนินการ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาแล้ว" นายชวนกล่าว
    นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า กรณี ส.ส.เสียบบัตรแทนกันในสภาที่เป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่วบ้านทั่วเมือง มีพวกที่ยึดหลักกูกำลังแถเพื่อพวกตัวเอง แต่เชื่อว่าจะแถอย่างไรก็ไปไม่รอด สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาผู้แทนราษฎรขณะนี้แยกออกได้เป็น 3 กรณี ดังนี้
        กรณีแรก เป็นกรณีที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเปิดเผยว่า มีผีในสภา ตัวไม่อยู่แต่กลับถอดวิญญาณมาร่วมลงคะแนนในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 วันที่ 11 มกราคม ผีที่นายนิพิฏฐ์พูดถึงก็คือนายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง ส่วนอีกคนหนึ่งคือนางนาที รัชกิจประการ เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเป็นบุคคลสำคัญของพรรคที่ถูกวางตัวให้เป็นแม่ทัพภาคใต้ และยังมีคดีแจ้งทรัพย์สินเท็จ อยู่ระหว่างการพิจารณาชั้นอุทธรณ์ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย
เอาสีข้างเข้าแถช่วยเหลือ ส.ส.
        กรณีที่สอง การลงคะแนนในวันที่ 8 มกราคม ของนายสมบูรณ์ ซารัมย์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย มีคลิปภาพจากช่อง 7 HD ว่านายสมบูรณ์ถือบัตร 2 ใบ แม้จะไม่มีภาพต่อเนื่องว่ามีการเสียบบัตรทั้ง 2 ใบหรือไม่ แต่ภาพที่เห็นชัดเจนว่านายสมบูรณ์มีบัตร 2 ใบ พร้อมลงคะแนนได้ทั้ง 2 บัตร ขัดหลักการที่ ส.ส. 1 คนมี 1 เสียงเท่านั้น
    กรณีที่สาม การลงคะแนนในวันที่ 10 มกราคม มีคลิปภาพจากช่อง 7 HD เช่นเดียวกันว่า นางสาวภริม พูลเจริญ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ ใช้บัตร 2 ใบเสียบบัตร 2 ครั้ง ซึ่งภายหลังให้เหตุผลว่าเป็นการช่วยนายทวิรัฐ รัตนเศรษฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเดียวกัน พร้อมกับมีการประดิษฐ์วาทกรรมว่า ไม่ใช่การเสียบบัตรแทนกัน แต่เป็นการช่วยเพื่อนเสียบบัตร
         นายเชาว์กล่าวว่า สภาพการณ์ทั้ง 3 ปัญหามีลิ่วล้อรัฐบาลออกมาปกป้อง เล่นคำ เอาสีข้างเข้าแถช่วยเหลือ ส.ส.เหล่านี้ ทำให้บ้านเมืองอยู่ในสภาพหลักการเปลี่ยนได้เพื่อพวกตัวเองอย่างน่าสังเวชใจยิ่ง
         "ผมคิดว่าสังคมต้องไม่โอนอ่อนผ่อนตาม เพราะความเป็นพวก แต่ต้องยึดหลักให้มั่น ตามแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18/2556 กรณีร่างพระราชบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว.เป็นโมฆะ และคำวินิจฉัยที่ 3-4/2557 ที่ให้ร่างกฎหมายเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทเป็นโมฆะ ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ร่างกฎหมาย 2 ฉบับนี้ตกไปก็คือ พฤติกรรมการเสียบบัตรแทนกันที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า การใช้บัตรแสดงตนและลงมติแทนสรายอื่นเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็นสมาชิกรัฐสภา ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ซึ่งจะต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายหรือการครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ขัดต่อหลักความซื่อสัตย์ สุจริตที่ ส.ส.ปฏิญาณตนไว้"
    นายเชาว์กล่าวว่า ยังขัดต่อหลักการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 126 วรรค 3 (ในปัจจุบันคือมาตรา 120) ที่ให้สมาชิกคนหนึ่งมีเพียงหนึ่งเสียงในการออกเสียงลงคะแนน มีผลทำให้การออกเสียงลงคะแนนของสภาผู้แทนราษฎรในการประชุมพิจารณานั้นเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจริต ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของผู้แทนปวงชนชาวไทย เมื่อกระบวนการออกเสียงลงคะแนนในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จึงถือว่ามติของสภาผู้แทนราษฎรในกระบวนการตราร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
         นอกจากนี้ ในการประชุมสภา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา มี ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ถามท่านประธานสภาฯ ว่า ถ้าไม่สะดวกเสียบบัตร แล้วให้เพื่อนเสียบแทนทำได้หรือไม่ ซึ่งท่านประธานชวนตอบแบบสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า ผิดแน่ๆ ซึ่งตนเห็นด้วยกับท่านประธานชวน ว่าการเสียบบัตรแทนกันไม่สามารถทำได้ในทุกกรณี ปัญหาในขณะนี้จึงรับฟังยุติว่ามีการลงคะแนนแทนกันอย่างแน่นอน แม้ตัวละครจะเปลี่ยนไป ก็ไม่ได้มีผลทำให้หลักการนี้เปลี่ยนแปลงไปด้วย หลักการต้องคงอยู่ ไม่ว่าตัวละครจะเปลี่ยนหรือไม่ จึงจะถือเป็นการบังคับใช้กฎหมายและใช้ดุลพินิจตามหลักนิติธรรมอย่างแท้จริง
ทักษิณไม่มีกัลยาณมิตร
        “ในฐานะคนไทยที่มีความเป็นห่วงบ้านเมือง ผมก็ไม่ต้องการเห็นเศรษฐกิจสะดุดเพราะการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า แต่จะนำเรื่องนี้มาอ้างเพื่อเอาตัวรอดจากการกระทำผิดกฎหมายไม่ได้ ที่สำคัญสังคมไทยควรขอบคุณคุณนิพิฏฐ์ ที่เปิดข้อมูลเรื่องนี้จนทำให้ได้เห็นความตกต่ำด้านจริยธรรมของ ส.ส.บางคน สิ่งที่ ส.ส.หรือลิ่วล้อรัฐบาลควรทำจึงไม่ใช่หันมาชี้นิ้วใส่คุณนิพิฏฐ์ว่าทำให้รัฐบาลยุ่งยาก แต่ต้องกลับไปทบทวนปรับปรุงพฤติกรรมตัวเองให้สมกับการเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยต่างหาก อย่าดันทุรังเปลี่ยนหลักการเพื่อปกป้องพวกตัวเอง เพราะนอกจากทำให้สังคมเสื่อมทรามแล้ว ยังจะกลายเป็นการเติมเชื้อแห่งความขัดแย้งเพิ่มขึ้นอีกด้วย” นายเชาว์ระบุ
     ขณะที่ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กอีกครั้งว่า ความทรงจำ ปลายสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในสภาผู้แทนราษฎร ผมเป็น ส.ส.ที่อภิปรายคุณทักษิณอย่างหนักหน่วงคนหนึ่ง วันหนึ่งในสภาผมอภิปรายว่าคุณทักษิณไม่มี "กัลยาณมิตร" แวดล้อมไปด้วยผู้คนที่สรรเสริญเยินยอเกินความเป็นจริง ระวังจะประสบความหายนะ   อภิปรายเสร็จผมเดินออกมานอกห้องเดินไปห้องกาแฟ ก่อนถึงห้องกาแฟมีคนเดินมาตบหลังผมอย่างแรง
         ผมคิดว่า ส.ส.ด้วยกันหยอกล้อ หันไปดูปรากฏว่าเป็นคุณทักษิณ ชินวัตร ท่านเดินมาจะไปห้องกาแฟเหมือนกัน มีคนล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด ท่านพูดว่า "เมื่อกี๊พูดถึงผมอยู่นะ ผมฟังอยู่" และท่านชวนผมไปดื่มกาแฟ ผมยกมือไหว้ขอบคุณ แต่ปฏิเสธท่านไป
         หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ท่านก็ถูกพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจ ท่านอาจจะโกรธผม แต่ถ้าท่านจำได้ ผมเคยเตือนท่านเรื่องให้มี "กัลยาณมิตร"
    น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำลังอยู่บนทาง 2 แพร่งในการแก้ปัญหาการเสียบบัตรแทนกันของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ไม่ว่าจะเลือกแนวทางแบบศรีธนญชัย ของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่าการเสียบบัตรแทนกันในอดีตไม่สามารถนำมาเป็นบรรทัดฐานในปัจจุบันได้ หรือจะยึดตามบรรทัดฐานของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เคยวินิจฉัยเอาไว้ว่าการเสียบบัตรแทนคนอื่นมีผลทำให้การลงคะแนนของสภาไม่สุจริต ถือเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งหาก พล.อ.ประยุทธ์ยังคงเชื่อตามคำแนะนำของนายวิษณุ ก็จะทำให้การวางแผนรองรับสถานการณ์ดังกล่าวเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ 
    เขากล่าวว่า ที่ผ่านมาดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเชื่อนายวิษณุมาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องการถวายสัตย์ฯ ไม่ครบจนนำไปสู่การฟ้องร้องเอาผิด หากครั้งนี้ยังคงเชื่อตามคำแนะนำอีก ก็อาจจะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งรอบใหม่ เนื่องจากเป็นการกระทำที่สวนทางกับแนวการตัดสินของศาล รธน. แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์จะลองกลับใจดูสักครั้ง ก็จะทำให้สามารถวางแผนรับมือได้อย่างถูกต้อง โดยอาจไม่จำเป็นต้องรอการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเลยก็ได้ เพราะเคยมีแนวทางการวินิจฉัยเอาไว้แล้วว่าให้ร่างพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทเมื่อปี 2557 ตกไป เพราะมีการเสียบบัตรแทนกันของ ส.ส. จนทำให้กระบวนการออกกฎหมายไม่ชอบ
อุ้ม ส.ส.เสียบบัตร
       เลขาธิการพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ไม่ว่าจะเลือกแนวทางใด รัฐบาลก็ยังมีทางออกอื่นในการนำงบประมาณปี 63 เอามาใช้ได้ แต่ที่จะเป็นปัญหาอย่างมากสำหรับตัว พล.อ.ประยุทธ์ ก็คือความรับผิดชอบทางการเมืองจากการที่มี ส.ส.รัฐบาลเสียบบัตรแทนกันถึง 4 คน แม้จะพยายามอ้างว่ามี 2 คนเสียบบัตรแทนกันเพราะเครื่องไม่พอ แต่ประธานสภาฯ ก็ฟันธงไปแล้วว่าถือเป็นความผิดเช่นเดียวกัน จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่รัฐบาลจะปัดความรับผิดชอบ
         น.อ.อนุดิษฐ์เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์เร่งสร้างความกระจ่างให้ได้ว่าใครเป็นคนเอาบัตรไปเสียบแทนกัน จะอ้างในทำนองว่าไม่ได้ฝากใครเสียบ หรือไม่ได้มอบอำนาจให้ใครเสียบบัตร แล้วก็ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปเฉยๆ ตามที่นายวิษณุแนะนำไม่ได้ เพราะจะยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงปัญหา 2 มาตรฐานของประเทศ เพราะต้องไม่ลืมว่า กรณีนายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เคยถูกทั้ง สนช.ยื่นถอดถอน และถูกอัยการสั่งฟ้องคดีอาญาโทษถึง 10 ปี จากกรณีเดียวกัน
       "ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ถูกครหาว่ามีทั้งการอุ้มรัฐมนตรี และ ส.ส.ที่ถูกฟ้องคดีอีกหลายคน หากครั้งนี้ยังไม่ทำเรื่องใครเสียบบัตรแทนกันให้กระจ่างอีก ก็จะมีเรื่อง "อุ้ม ส.ส.เสียบบัตร" เพิ่มเข้าไปอีก ซึ่งจะยิ่งทำให้ความชอบธรรมของรัฐบาลหมดไปเรื่อยๆ และนั่นเท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์เริ่มนับถอยหลังทางการเมืองตั้งแต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ได้เลย" เลขาธิการพรรคเพื่อไทยกล่าว 
    นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่  เรียกร้องให้คนกระทำผิด ไม่ว่าคนที่ให้คนอื่นลงคะแนนให้ และคนที่ลงคะแนนแทนเพื่อน ควรออกมาแสดงตัวยอมรับการทำผิด และพร้อมจะแสดงการรับผิดชอบ ที่จะรับผิดตามกฎหมาย สมกับเป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ ซึ่งในขณะนี้ทางสภาได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยแล้ว ไม่ว่าผลการวินิจฉัยจะออกมาอย่างไร ผมขอเรียกร้องให้ ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลช่วยกันแก้วิกฤติ พ.ร.บ.งบประมาณฯ ในครั้งนี้ อย่ามัวแต่เล่นเกมกัน และขอให้นึกถึงปัญหาปากท้องของประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากการล่าช้าโครงการใช้งบประมาณ โดยเฉพาะหมวดเงินลงทุนที่จะไปกระตุ้นเศรษฐกิจ
    “ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นเพียงความคิดของบุคคล พ.ร.บ.งบประมาณฯ ไม่เป็นโมฆะ การแก้ปัญหาก็อาจจะแก้ไขได้ไม่ยากและรวดเร็ว แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าโมฆะ รัฐบาลก็ยังสามารถจะแก้ไขได้โดยรัฐบาลเสนอร่าง พ.ร.บ.นี้เข้าสภาใหม่และ ส.ส.ทั้งสภาร่วมกันแก้ไขวิกฤติในครั้งนี้ โดยร่วมกันพิจารณางบประมาณให้เสร็จวาระ 1 พ.ร.บ.งบประมาณฯ ภายในวันเดียวแล้วตั้งกรรมาธิการงบประมาณใหม่ จากนั้นกรรมาธิการเร่งสรุปร่าง พ.ร.บ.งบฯ ให้เสร็จใน 7 วัน จากนั้นนำเสนอวาระ 2 และ 3  ในสภาให้จบได้ใน 1 วัน จากนั้นสภาก็นำร่าง พ.ร.บ.ส่งสมาชิกวุฒิสภาได้ต่อไป ผมคาดว่าใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ก็น่าจะจบได้ แต่จะทำได้ต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจของ ส.ส.ทั้งสภา” 
    นพ.ระวีกล่าวต่อว่า ตามข่าวมีคนเสนอว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินเป็นโมฆะ ให้รัฐบาลออก พ.ร.ก.งบประมาณฯ ใหม่เข้าสภา จัดการแบบม้วนเดียวจบ แม้ว่าวิธีการนี้จะทำได้ แต่ในส่วนตัวตนไม่เห็นด้วย ยกเว้นเป็นทางออกสุดท้ายที่จำเป็นจริงๆ ถ้ามีวิธีการอื่น รัฐบาลควรเลือกทางออกอื่นจะดีกว่า
"ศรีสุวรรณ"ร้องกราวรูด
    นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า เนื่องจากต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากกรณีของนายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย ที่เดินทางไปร่วมกิจกรรมวันเด็กที่ จ.พัทลุง ในวันที่มีการลงคะแนนเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าว และนางนาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ก็ปรากฏภาพถ่ายอยู่ที่ประเทศจีน แต่บุคคลทั้งสองกลับมีชื่อร่วมลงมติในที่ประชุมสภาเมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมาด้วย นอกจากนั้นยังมีพฤติการณ์เสียบบัตรลงคะแนนแทนกันของ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ตามที่สื่อมวลชนหลายแขนงได้นำหลักฐานภาพถ่ายการเสียบบัตรแทนกันมารายงานอีกด้วย
    พฤติการณ์และการกระทำดังกล่าวจึงอาจเข้าข่ายการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ม.185 อันถือได้ว่าเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือของผู้อื่น และอาจเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ตาม พ.ร.ป.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 และเข้าข่ายการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ในข้อ 7 และข้อ 8 ในประเด็นที่ต้องถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน และต้องไม่มีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตําแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ฯลฯ ซึ่งหาก ป.ป.ช.วินิจฉัยว่ามีความผิดตามข้อห้ามข้างต้น ก็อาจนำไปสู่การสิ้นสุดลงของตำแหน่ง ส.ส. ตามมาตรา 101 (7) ของรัฐธรรมนูญ 2560 ได้
     ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมจึงจะนำความไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ดำเนินการไต่สวน สอบสวน และเอาผิด ส.ส.ทั้งหมดดังกล่าว หากพบความผิดตามครรลองของกฎหมายต่อไป โดยจะเดินทางไปยื่นคำร้องในวันจันทร์ที่ 27 ม.ค. 
    ขณะที่นายเจษฎ์ โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวต่อประเด็นการพิจารณาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 143 ว่าด้วยการกำหนดระยะเวลาให้สภา พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ให้แล้วเสร็จภายใน 105 วันนับแต่ที่ได้รับร่างจากรัฐบาล และหากเกินกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าสภา เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบฯ ฉบับที่รัฐบาลส่งมายังสภาว่า เจตนารมณ์ของมาตราดังกล่าวเพื่อไม่ให้สภาถ่วงเวลาการทำงานทั้งในชั้นของสภา หรือในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ที่พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบฯ เพราะหากพิจารณาเกินเวลา 105 วัน รัฐบาลฐานะหน่วยงานที่จัดสรรงบประมาณ และผู้ใช้งบประมาณมีสิทธิใช้ร่างงบประมาณที่เสนอมา ส่วนระยะเวลา 105 วันนั้น คิดมาจากฐานการแบ่งระยะเวลาการใช้งบประมาณเป็นรายไตรมาส ขณะที่ในแนวทางปฏิบัติคือ สภาพิจารณาไม่เสร็จภายใน 105 วัน หมายถึงกระบวนการลงมติว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ
ไม่มีทางเป็นโมฆะทั้งฉบับ
        นายเจษฎ์กล่าวว่า ในคำร้องที่ ส.ส.เข้าชื่อส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีประเด็นดังกล่าว ระยะเวลา 105 วันคือกระบวนการที่สภาพิจารณาไม่เสร็จในวาระสาม แต่ร่าง พ.ร.บ.งบฯ 63 นั้น ทำเสร็จสิ้นทั้งในกระบวนการทั้งหมดของสภาฯ และของวุฒิสภา ดังนั้นหากจะให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคงไม่เกี่ยวกับกระบวนการที่ต้องรื้อการพิจารณาของสภาใหม่ แต่ในประเด็นที่เป็นต้นตอคือการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน คือกระบวนการตรา ดังนั้นในประเด็นที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับกระบวนการตรากฎหมายต้องรอคำวินิจฉัยของศาล
    เขากล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.งบฯ 63 ไม่มีทางเป็นโมฆะทั้งฉบับ เพราะหากพิจารณาในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในอดีตว่าด้วยการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นั้น จะพบสาระสำคัญคือ เนื้อหาของร่างกฎหมายต้องมีปัญหา แต่ร่าง พ.ร.บ.งบฯ 63 บทบัญญัติไม่มีปัญหา แต่จะมีปัญหาคือกระบวนการออกเสียงเท่านั้น ดังนั้นต้องแยกเป็นสองประเด็น ยกตัวอย่างเหมือนการคลอดของมนุษย์ ที่คนหนึ่งคลอดธรรมชาติ อีกคนผ่าตลอด ซึ่งไม่เป็นไปตามธรรมชาติ แต่เด็กสามารถเกิดมาได้มีชีวิต ไม่ได้หมายความว่าคนที่เกิดโดยไม่เป็นไปตามธรรมชาตินั้นไม่ใช่มนุษย์ ยกเว้นแต่ตาย โดยพ.ร.ก.กู้เงิน 2 ล้านล้าน และร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาคือ เนื้อหาไม่ถูกต้อง ไม่ใช่เกิดจากกระบวนการทำคลอด ส่วนผลของการเสียบบัตรจะเป็นอย่างไร จะผิดหรือไม่ต้องว่ากันในรอบสองต่อไป โดยแยกออกจาก เนื้อหาของร่างกฎหมาย
      นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ช่วงเช้าวันที่ 27 ม.ค. แกนนำพรรคเพื่อไทย คณะกรรมการบริหาร คณะกรรมการยุทธศาสตร์ และคณะกรรมการกิจการพิเศษของพรรคเพื่อไทย จะประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณากลั่นกรองสรุปการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในทุกด้าน ทั้งเรื่องเนื้อหาสาระ ตัวบุคคลที่จะถูกอภิปราย บุคคลที่จะอภิปรายและเงื่อนเวลาที่จะอภิปราย จากนั้นช่วงเย็นจะนำเนื้อหาการหารือไปพูดคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านเพื่อหาข้อสรุป ขณะนี้ทางพรรคร่วมฝ่ายค้านมีข้อมูลใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ เช่นเรื่องการแก้ปัญหาฝุ่น การแก้ปัญหาภัยแล้ง ส่วนรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายเบื่องต้นก็เป็นรัฐมนตรี 5 คน ตามที่พรรคเพื่อไทยเปิดเผยไปก่อนหน้านี้ และจะมีรัฐมนตรีที่อยู่ในข่ายพิจารณาเพิ่มเติม 4 คนตามที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้ วันที่ 27 ม.ค. เมื่อคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้นแล้ว ถือว่าจะได้ข้อยุติข้อสรุปทั้งหมดสามารถเขียนญัตติขออภิปรายไม่ไว้วางใจได้เลย
    มีรายงานว่า สำหรับรายชื่อในข่ายที่พรรคเพื่อไทยวางไว้ว่าจะพิจารณายื่นอภิปรายเพิ่มเติม 4 คนนั้น ประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ, นายอุตตม สาวนายน รมว.การคลัง, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ซึ่งพรรคร่วมฝ่ายค้านก็เห็นด้วยกับเป้าอภิปรายของพรรคเพื่อไทย ส่วนใหญ่จะอภิปรายในเป้า 5 คนที่วางไว้ แต่พรรคอนาคตใหม่ก็แสดงความจำนงอภิปรายเพิ่มเติมตรงกับรัฐมนตรีที่พรรคเพื่อไทยพิจารณาอยู่ คือ พล.อ.ประวิตร และ ร.อ.ธรรมนัส.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"