หรือจะต้องเปลี่ยนม้ากลางลำธาร???


เพิ่มเพื่อน    

     การเอ่ยปาก เชิญชวน บรรดาพรรคการเมืองทั้งหลาย ให้ไปพูดคุยเรื่องนโยบายในเดือนมิถุนายนของท่านนายกฯ  บิ๊กตู่ นั้น คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า...แทบไม่ได้ก่อให้เกิดบรรยากาศน่าพูด น่าคุย กันซักเท่าไหร่ คือไม่ใช่แค่คล้ายๆ จะไปควัก ไปล้วง อะไรต่อมิอะไรเท่านั้น แต่ออกไปทางคล้ายๆ การ ออกคำสั่ง ประเภทว่า มึงต้องมา อะไรทำนองนั้น...

                                                         ------------------------------------------------------------

     เพราะถ้าหาก มึงไม่มา หรือ ถ้ามาไม่ครบ หรือไม่มีการพูดอะไรกันเลย...มันก็กำหนดวันเลือกตั้งไม่ได้นั่นแหละ อันนี้ถ้าว่ากันตามคำพูดของ บิ๊กตู่ เอง ที่กระเดียดไปทาง จิ๊กโก๋ปากซอย อย่างเห็นได้โดยชัดเจน เพียงแต่จิ๊กโก๋รายนี้ไม่ใช่แค่อดีตทหารธรรมดาๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะตัดสินใจเข้ามาสู่แวดวงการเมืองหรือไม่ อย่างไร และโดยวิธีไหน แต่เป็นผู้ควบคุมทางออก-ทางเข้าซอยประชาธิปไตย หรือซอยของการเลือกตั้งทั้งซอย คำเชิญชวน ที่ว่า มันเลยออกไปทางคล้ายๆ กับ คำสั่ง มากกว่า และคงไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ในการพูดคุย หารือ กี่มากน้อย เนื่องจากมันไม่ได้ชวนให้เกิดบรรยากาศ เจ๊าะๆ แจ๊ะๆ เอาเลยแม้แต่น้อย กลับออกไปทาง เสียบรรยากาศ ตั้งแต่แรก...

                                                    --------------------------------------------------------

     คือถ้าอยากจะรู้ว่าพรรคการเมือง นักการเมือง คิดอะไร ทำอะไร อันที่จริง...แทบไม่ต้องเสียเวลาชวนมาพูด มาคุย ให้เสียค่าแอร์ ค่ากาแฟ เอาเลยก็ยังได้ แค่ตัดสินใจ ปลดล็อก อย่างเป็นทางการ เดี๋ยวเดียว...อะไรต่อมิอะไรย่อมทะลักออกมาแบบจ๋อยๆๆ ชนิดน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง สามารถหยิบเอามากลั่น มากรอง สรุปเป็นจุดยืน ทัศนะ วิธีการ ต่างๆ ได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ และถ้าหากมีอะไรที่ไม่ค่อยชอบมา พากล ที่อาจไม่สอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ 20 ปี ของ คสช. (ซึ่งยังไม่รู้ว่ารจนากลั่นกรองไปถึงไหนแล้ว) ถึงจังหวะนั้น...ค่อยเรียกมากินโจ๊ก กินกาแฟ ปรับทัศนคติ ไปเป็นรายๆ ก็ย่อมได้...

                                                    -------------------------------------------------------

      การเรียกให้มาพูด มาคุย แบบ มึงต้องมา เช่นนี้...จึงแทบไม่รู้ว่า เอาเข้าจริงๆ แล้ว มุ่งจะให้เกิดผล หรือมุ่งจะให้เป็นไปตามเป้าหมาย วัตถุประสงค์ เช่นใดกันแน่!!! และเมื่อมองไม่เห็นผล หรือเห็นจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน มันเลยกระเดียดออกไปทางคล้ายๆ การอวดโชว์อำนาจ หรือการแสดงอำนาจ ซะมากกว่า ซึ่งอันนี้นี่แหละ...ที่กลับจะก่อให้เกิด อุปสรรค ต่อการร่วมมือ ร่วมใจ ในการบริหารชาติบ้านเมืองภายหลังการเลือกตั้ง หรือแม้แต่การ ถ่ายโอนอำนาจ ไม่ว่าจะโดยวิธี จัดสรรปันส่วนผสม หรือกรรมวิธีใดๆ ก็แล้วแต่...

                                                   ------------------------------------------------------

      คือในระบบจัดสรรปันส่วนผสมเมื่อครั้งอดีต อย่างที่ถูกเรียกๆ ว่า ระบบประชาธิปไตยครึ่งใบ นั้น ผู้ที่อยู่ในฐานะ ตัวกลาง หรือ คนกลาง อย่าง ป๋าเปรม นั้น ต้องยอมรับว่า...ท่านแทบไม่ได้อวดโชว์อำนาจ หรือแสดงอำนาจ ในการควบคุม ดูแล บรรดาพรรคการเมืองที่ประกอบตัวเข้ามาเป็นรัฐบาลมากมายซักเท่าไหร่ แม้ว่าบรรดาพรรคการเมือง นักการเมือง เหล่านั้นจะเต็มไปด้วยบรรดาเสือ สิงห์ กระทิง แรด กระซู่ และสมเสร็จ อยู่เป็นจำนวนไม่น้อย แต่อาศัยสิ่งที่เรียกว่า พระคุณ มากซะยิ่งกว่า พระเดช ชนิดสามารถทำให้นักการเมืองประเภทเขี้ยวลากดิน เกล็ดแตกลายงา ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของฉายา ไข่มุกดำ อย่าง วีระ มุสิกพงศ์ เจ้าของฉายา หอกสามสี อย่างคุณน้า ไตรรงค์ สุวรรณคีรี นักคิด นักวิชาการ อย่าง ดร.โกร่ง-วีรพงษ์ รามางกูร ไปจนถึงเจ้าของฉายา ปลาไหลใส่สเกต อย่างอดีตนายกฯ บรรหาร ศิลปอาชา ฯลฯ สามารถร่วมมือ ร่วมใจ อยู่ภายใน ข้อง เดียวกัน และเดินตาม ยุทธศาสตร์ ของ ป๋าเปรม มาได้ไม่รู้กี่สมัยต่อกี่สมัย...

                                                         ---------------------------------------------------------

      การหาทางทำให้ระบบจัดสรรปันส่วนผสม สามารถเดินหน้า หรือสามารถขับเคลื่อนประเทศไทยต่อไปได้อย่างราบรื่นจริงๆ มันจึงต้องอาศัย ศาสตร์ และ ศิลป์ อยู่พอสมควร จะอาศัยแค่การวี้ดๆ แว้ดๆ การกดดัน ต่อรอง หรือการปิดซอย-เปิดซอยแบบ จิ๊กโก๋ปากซอย นั้น...น่าจะลำบาก!!! เพราะขึ้นชื่อว่า นักการเมือง แล้ว...แต่ละรายๆ ล้วนแล้วแต่มีพิษสงไปด้วยกันทั้งสิ้น จะไปอาศัยอำนาจล้วนๆ สั่งซ้ายหัน-ขวาหันแบบทหาร คงไม่น่าจะถูกเรื่องกันซักเท่าไหร่นัก มีแต่ต้องอาศัยความดี ความงาม ความซื่อสัตย์ อดทน อดกลั้น หรืออาศัย พระคุณ นั่นแหละเป็นหลัก ไม่งั้น...โอกาสถูก แพร่พิษ ตายคาชามข้าวเอาง่ายๆ ก็มีตัวอย่างให้เห็นกันมาเยอะแล้ว...

                                                   -------------------------------------------------------

      การแสดงออกถึงอำนาจ...แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ  อย่างเรื่อง การกำหนดวันเลือกตั้ง ก็ตาม จึงทำให้อดเกิด คำถาม ขึ้นมาไม่ได้ว่า เอาเข้าจริงๆ แล้ว...สไตล์อย่างท่านนายกฯ บิ๊กตู่ นั้น เหมาะสำหรับการดำรงสถานะเป็น ตัวกลาง หรือ คนกลาง ในช่วงสถานการณ์การเมืองหลังเลือกตั้งมาก-น้อยขนาดไหน แม้จะมีคะแนนนิยมพุ่งโด่เด่ไปถึง 30 เกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเรื่องของ คนวงนอก หรือของประชาชนที่เป็นผู้สังเกตการณ์แต่เพียงเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการควบคุม บริหารชาติบ้านเมือง ที่ต้องอาศัย คนวงใน ไปในแทบทุกเรื่อง ทุกๆ กรณี...

                                                      -----------------------------------------------------

      พูดง่ายๆ ว่า...แม้การขึ้นมาดำรงตำแหน่ง นายกฯ คนกลาง หลังการเลือกตั้งของ บิ๊กตู่ จะ เป็นไปได้ในทางทฤษฎี อยู่ไม่น้อย แต่สำหรับใน ทางปฏิบัติ แล้ว ออกจะเป็นอะไรที่น่าห่วง น่ากังวล อยู่พอสมควร และถ้าหากความน่าห่วง น่ากังวลที่ว่านี้ มันเกิดแสดงให้เห็นอย่าง ค่อนข้างชัดเจน ก่อนหน้าการเลือกตั้งจะมาถึง อันนี้นี่แหละ...ที่อาจส่งผลให้สมการการเมืองและคณิตศาสตร์ทางการเมืองทั้งหลาย ต้องนำมาคิดคำนวณกันใหม่ ชนิดต้องอาศัยคณิตศาสตร์ระดับ แคลคูลัส ไปโน่นเลย ถึงจะสามารถ ตอบโจทย์ กันได้แบบจริงๆ จังๆ...

                                                     ------------------------------------------------------

      ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Frank Dickson... By the time a person gets to greener pastures, he cant climb the fence.- พอพบทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่ม ก็ปรากฏว่าเขาผู้นั้นไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะข้ามรั้วเข้าไปในทุ่งหญ้านั้นๆ ได้เสียแล้ว...

                                                     -------------------------------------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"