ยื่นซักฟอก5รมต.เว้น‘ปชป.-ภท.’


เพิ่มเพื่อน    

  พรรคฝ่ายค้านดีเดย์ 11.00 น. ยื่นญัตติอภิปราย 9 รัฐมนตรีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่แตะโควตา รมต.ประชาธิปัตย์สักราย “3 ป.” โดนถ้วนหน้าไม่รอดพ่วง “อนุทิน-วิษณุ-สมคิด-อุตตม-ดอน-ธรรมนัส” ชลน่านเตรียมชงชื่อ “นาที” ให้นายหัวชวนเพิ่มกรณีเสียบบัตรแทนกัน อนาคตใหม่เปิดเคสใหม่ทั้ง “ส.ส.พปชร.-พลังท้องถิ่นไท” ลงคะแนนแทนกัน “ปิยบุตร” ดักคอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ไม่เข้ามาตรา 143 ใช้ พ.ร.ก.แทนไม่ได้

    เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันที่ 31 ม.ค.นี้ จะมีการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดได้อยู่กับหัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่จะหารือร่วมกันครั้งสุดท้ายภายในวันที่ 30 ม.ค.เพื่อสรุปรายชื่อของรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปราย แต่เป้าหมายหลักคือ พล.อ.ประยุทธ์ 
    รายงานข่าวจากพรรค พท.แจ้งว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ข้อสรุปแล้วว่าจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในวันที่ 31 ม.ค. โดยอยู่ระหว่างประสานกับสภาผู้แทนราษฎรเพื่อยื่นญัตติในเวลา 11.00 น. โดยมีรัฐมนตรีที่จะถูกจะอภิปรายทั้งสิ้น 9 คน ประกอบด้วย 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในประเด็นภาพรวมความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ 2.นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ประเด็นการทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม 3.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ประเด็นการปล่อยปละละเลยจนอาจมีการทุจริตโรงไฟฟ้าขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 4.นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ประเด็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ล้มเหลว และเอื้อประโยชน์ให้นายทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)  
5.นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศ ประเด็นการทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ ให้รัฐบาลยุติการฟ้องร้องคดีอาญาบริษัท ฟิลลิป มอร์ริสฯ 6.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ประเด็นล็อกสเปกการจัดซื้อจัดจ้างในหน่วยงานความมั่นคง 7.นายอุตตม สาวนายน รมว.การคลัง ประเด็นความล้มเหลวด้านเศรษฐกิจ และอาจปล่อยให้มีเรื่องทุจริตในกระทรวง 8.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ ประเด็นการแก้ปัญหาที่ดิน ส.ป.ก. รวมถึงคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี และ 9.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ในประเด็นการท่องเที่ยวที่หดหาย, การออกมาตรการดูแลและป้องกันโรคที่ล้มเหลว รวมถึงกรณีถือหุ้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการรับสัมปทานของภาครัฐ และส่อว่าน่าจะเข้าข่ายพยายามทุจริต ในฐานะกำกับดูแล 3  กระทรวงคือ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ, คมนาคม และสาธารณสุข 
นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมการพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงฝ่ายค้านเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ 9 รัฐมนตรีว่า ล่าสุดขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลหลักฐาน และเรียกคนที่จะอภิปรายมาซักถามว่ามีข้อมูลหนักแน่นเพียงใด เพราะบางคนเป็น ส.ส.ใหม่ ข้อมูลอาจไม่แน่น ใครมีหลักฐานไม่แน่นจริง ก็คงต้องมาทบทวนกันอีกที คาดว่าจะได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการช่วง 22.00-23.00 น. วันที่ 30 ม.ค. เพื่อจะนำรายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายทั้งหมดไปยื่นต่อสภาในวันที่ 31 ม.ค. เวลา 11.00 น. แต่ดูแนวโน้มแล้วคงต้องปรับลดจำนวนรัฐมนตรีที่จะถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจลงมา คาดว่าคงปรับลดลงมา 1-2 คน แต่จะเป็นใครต้องรอสรุปกันอีกที 
       นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรค พท. กล่าวว่า ตราบที่ประชาชนยังคงแห่ติดแฮชแท็ก #รัฐบาลเฮงซวย เป็นเทรนด์ฮิตอันดับที่ 1 รอบแล้วรอบเล่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ต้องกังวลว่าฝ่ายค้านจะไม่มีเรื่องอภิปราย เพราะหยิบจับเรื่องไหนมาก็ล้วนมีข้อกังขา ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ใช่พิธีกรรม ต้องคัดแล้วคัดอีก ทั้งประเด็นที่จะอภิปราย รวมถึงตัวบุคคลผู้อภิปรายต้องซ้อมแล้วซ้อมอีก 
    “รัฐบาลยังไม่รู้เลยว่าฝ่ายค้านจะอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยเรื่องใดบ้าง แต่ขยันออกมาบอกว่า ตอบได้ ไม่ถูกน็อก ทั้ง #เบื่อประยุทธ์ “#รัฐบาลเฮงซวย ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 หลายรอบขนาดนี้ รัฐบาลไปเอาความมั่นใจมาจากไหน” นายอนุสรณ์กล่าว
จ่อยื่นชื่อ"นาที"เพิ่ม
    ขณะเดียวกัน ยังคงมีความต่อเนื่องจากกรณีศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านให้สอบกรณีเสียบบัตรแทนกันในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 โดยนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ได้รับทราบเรื่องที่ศาลกรณีดังกล่าวแล้ว โดยศาลรับ 2 คำร้องของ ส.ส.ฝ่ายค้านและรัฐบาล แต่ตีตก 1 คำร้องของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ซึ่งศาลยังได้ส่งคำสั่งไปให้บุคคลที่เกี่ยวข้องชี้แจงภายในวันที่ 4 ก.พ.นี้ ซึ่งในส่วนของนายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาฯ ได้ให้อำนาจเลขาธิการสภาฯ ไปชี้แจง โดยไม่ต้องกำชับอะไรเพิ่มเติม
    เมื่อถามถึงกรณีศาลไม่มีชื่อของนางนาที  รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ทั้งที่ถูกตรวจสอบและพบว่าให้บุคคลอื่นใช้สิทธิ์ลงคะแนนแทนนั้น นายชวนปฏิเสธจะตอบคำถามนี้
    ด้านนายสรศักดิ์กล่าวสั้นๆ ว่า สาเหตุที่ยังไม่ตรวจสอบนางนาทีนั้น เป็นเพราะเรื่องเพิ่งส่งมาถึง  
    ทั้งนี้ การตรวจสอบคำร้องของพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านที่ยื่นต่อนายชวน เพื่อส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้น พบว่ามีการระบุชื่อนายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรค ภท.เพียงบุคคลเดียวในการเสียบบัตรแทนกัน ในขณะที่บุคคลที่ศาลให้ชี้แจงเป็นหนังสือนั้น ประกอบด้วย นายสรศักดิ์, นายฉลอง, น.ส.ภริม พูลเจริญ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และนายสมบูรณ์ ซารัมย์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรค ภท. ซึ่งสาเหตุที่ศาลให้นายสมบูรณ์และ น.ส.ภริมส่งคำชี้แจงด้วยนั้น เป็นไปได้ว่าในการยื่นคำร้องฝ่ายค้านได้ยื่นหลักฐานประกอบเป็นคลิปที่ปรากฏภาพของ น.ส.ภริมและนายสมบูรณ์ ส่วนกรณีของนางนาทีนั้น เป็นชื่อที่อยู่ในคำร้องของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ แต่ศาลรัฐธรรมนูญตีตกคำร้อง 
    พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องของพรรค ว่าได้ยื่นเรื่องนายกฯ ถวายสัตย์ฯ ไม่ครบแนบไปกับการเสียบบัตรแทนกันด้วย ซึ่งหากศาลไม่รับวินิจฉัยเรื่องถวายสัตย์ฯ ก็ควรรับเรื่องเสียบบัตรแทนกัน เพราะยื่นหลักฐานไปชัดเจน จึงขอถามถึงที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่ามาจากไหน ซึ่งรู้สึกวังเวงแทนประเทศไทยที่มีศาลแบบนี้
    ด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรค พท. กล่าวถึงกรณีไม่มีชื่อนางนาทีว่า ฝ่ายค้านไม่ได้ยึดที่ตัวบุคคล ซึ่งแต่เราจะชี้ให้เห็นว่ากระบวนการพิจารณางบประมาณดังกล่าวมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยฝ่ายกฎหมายอยู่ระหว่างทำคำร้องเพื่อขอเพิ่มหลักฐานใหม่ในกรณีนางนาที โดยจะยื่นผ่านนายชวนในวันที่ 31 ม.ค.นี้ เพื่อส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเพิ่มเติมตามคำร้องเดิมที่ยื่นไปก่อนหน้านี้
    ขณะที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่เป็นผู้เปิดประเด็นเสียบบัตรแทนกันนั้น ระบุว่า สงสัยตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่าทำไมคำร้องของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านจึงไม่ปรากฏชื่อของนางนาทีรวมอยู่ด้วย ทั้งที่มีหลักฐานปรากฏชัด จึงคิดว่านางนาทีคงเล่นของ จึงเสกชื่อตัวเองให้หายไปได้
    เมื่อถามว่าแม้ไม่มีชื่อนางนาที แต่ยังมีชื่อของนายฉลอง ถือว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับการตรวจสอบในเรื่องนี้ใช่หรือไม่ นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า น้ำหนักของเรื่องนี้อยู่ที่กรณีของนายฉลองและนางนาที ส่วนคลิปวิดีโอที่บันทึกภาพของ น.ส.ภริมและนายสมบูรณ์นั้นมีคำอธิบายได้ในระดับหนึ่งว่าเกิดจากกรณีที่จำนวนช่องเสียบบัตรในห้องประชุมนั้นมีไม่เพียงพอกับจำนวน ส.ส.ในสภา และเจ้าของบัตรก็ยืนดูอยู่ด้วย  
“เชื่อว่าประเด็นนี้จะทำให้ศาลต้องคิดหนักว่าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวจะเป็นโมฆะหรือไม่ แต่ผมยังมั่นใจกรณีของนายฉลองและนางนาทีว่ามีน้ำหนักมาก แต่ในเมื่อ ส.ส.ในสภาไม่สงสัยกรณีนี้ ก็ต้องแล้วแต่เขา เพราะในเมื่อตอนนี้ไม่ได้เป็น ส.ส.จึงดำเนินการอะไรไม่ได้มากกว่านี้” นายนิพิฏฐ์กล่าว
เปิด 2 รายชื่อใหม่เสียบบัตร
วันเดียวกัน มีการเปิดประเด็นเรื่องการเสียบบัตรเพิ่มเติม เมื่อนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) แถลงว่า พรรคมีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอของ น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.กทม. พรรค พปชร. เมื่อวันที่ 8 ส.ค.2562 เวลา 13.41 น. เลขที่บัตร 150 ในระหว่างการประชุมสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับหนึ่ง ซึ่ง น.ส.ธณิกานต์ได้ลงคะแนนเห็นด้วย แต่ในวันดังกล่าว เวลา 13.42 น. พบว่า น.ส.ธณิกานต์ปรากฏตัวในถ่ายทอดสดเฟซบุ๊กไปร่วมรายการแบ่งปันความรู้บทบาทแม่แห่งยุคดิจิทัล ที่สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ
    “ยังมีกรณีนายโกวิทย์ พวงงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังท้องถิ่นไท ที่เสียบบัตรแทนกันถึง 3 ครั้ง ในระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ซึ่งกรณีของพรรคพลังท้องถิ่นไทยนั้นมีจำนวนเก้าอี้และเครื่องเสียบบัตรเพียงพอต่อจำนวน ส.ส.ของพรรค ทำให้ไม่จำเป็นที่ต้องฝากบัตรลงคะแนนไว้กับ ส.ส.คนอื่นแต่อย่างใด” นายณัฐชากล่าว
นายณัฐชากล่าวต่อว่า กรณีที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าการลงคะแนนแทนกันเป็นภาวะของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ซึ่งวันนี้ไม่ใช่แค่รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ แต่เป็นรัฐบาลบัตรข้างมากมากกว่า เพราะทุกญัตติ ทุกโอกาส จะเกิดการเสียบบัตรแทนกันเพื่อเอาชนะทางการเมือง โดย ส.ส.ที่มีพฤติกรรมดังกล่าวไม่ได้เกรงต่อข้อบังคับการประชุมสภาดังนั้น หากไม่มีการแก้ไข ก็จะไม่เกิดการถ่วงดุลตรวจสอบ เพราะรัฐบาลจะชนะโหวตทุกครั้งเสมอ 
    ทั้งนี้ นายณัฐชาได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก พร้อมกับแนบเอกสารผลการลงคะแนนของ น.ส.ธณิกานต์ โดยระบุว่าเป็นการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 10
    ขณะเดียวกัน นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึงปัญหาเรื่องงบประมาณและการเสียบบัตรแทนกัน ว่าต้องแยกเป็นสองส่วน โดยเป็นปัญหาของสภา แต่ว่ามันกระทบฝ่ายบริหารคือ กระทบรัฐบาล เราก็ต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่พอมีประเด็นอย่างนี้ก็โยนให้ พล.อ.ประยุทธ์รับผิดชอบอีก ซึ่งนายกฯ ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค ไม่ได้เป็น ส.ส. เป็นผู้นำด้านบริหาร ซึ่งฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารมันแยกกัน นี่คือสิ่งที่ฝ่ายค้านพยายามดิสเครดิตนายกฯ ทุกเรื่อง 
“ผมได้เรียนนายกฯ ไปแล้วว่าท่านต้องอดทน เมื่อท่านกระโดดเข้าการเมืองแล้วท่านต้องอดทนหนักแน่น ท่านก็บอกว่าท่านสบายใจ ไม่เป็นไรเดินหน้าทำงานเพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน อย่างเต็มที่ต่อไปด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ อย่าไปวิตก ฝ่ายค้านจะเล่นวิชามารอย่างไรเราต้องอดทนให้ได้ วันนี้ลองสังเกตว่าท่านนายกฯ เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ท่านไม่ค่อยโกธร ไม่มีอารมณ์โมโหอะไรเลย พูดง่ายๆ ท่านมองทะลุฝ่ายค้านออกหมดแล้วว่าจะมาไม้ไหน”นายสุภรณ์กล่าว 
    ส่วนนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาและแกนนำพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) กล่าวว่า ต้องรอคำวินิจฉัยของศาล ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร แต่คำวินิจฉัยคงเป็นบรรทัดฐานที่จะนำไปสู่แนวทางในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ซึ่งเรื่องงบประมาณเป็นความสำคัญในเศรษฐกิจ จึงเชื่อว่าด้วยกลไก ด้วยมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลได้ศึกษาเอาไว้ว่าจะหยิบออกมาใช้ได้เหมาะสมกับสถานการณ์ สรุปว่ายังไงเงินมีแน่ เงินได้ใช้แน่ แต่อาจช้าบ้าง
ปิยบุตรดักคอออก พ.ร.ก.
ขณะที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค อนค. โพสต์เฟซบุ๊กว่า เป็นที่น่าติดตามต่อไปเช่นกันว่าศาลจะวินิจฉัยกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้อย่างไรบ้าง รอดหรือไม่รอด พระราชบัญญัติจะตกไปเพราะกระบวนการไม่ชอบด้วยกฎหมายตามที่เคยวินิจฉัยไว้ใน พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทเพื่อโครงสร้างพื้นฐานในสมัยรัฐบาลเพื่อไทยในปี 2556-2557 หรือไม่ และรัฐบาลจะมีทางแก้ไขปัญหานี้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือข้อเสนอที่ชี้โพรงให้รัฐบาลออกงบรายจ่ายประจำปีเป็นพระราชกำหนดแทนนั้นทำไม่ได้แน่นอน เพราะในรัฐธรรมนูญมาตรา 141 ก็บัญญัติเอาไว้ชัดเจนว่าต้องออกเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น 
    นายปิยบุตรกล่าวอีกว่า ตามที่คุณวิษณุได้ให้ความเห็นว่าหากศาลปัดให้กฎหมายงบประมาณตกไปทั้งฉบับนั้น ก็ให้ยกเอารัฐธรรมนูญมาตรา 143 มาใช้ ก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะกรณีที่เกิดขึ้นนั้นไม่เข้ากับมาตรา 143 เนื่องจากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ได้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแล้ว จนตอนนี้อยู่ในขั้นตอนที่นายกฯ จะทูลเกล้าฯ ถวาย กรณีนี้ทั้งหมดไม่ใช่กรณีตามมาตรา 143 แน่นอน การกระทำเช่นนี้จะขัดรัฐธรรมนูญชัดเจน
    "ลักษณะการทำโจ๋งครึ่มเป็นล่ำเป็นสันกันกลางสภาเช่นนี้เกิดจากอะไร ผมเห็นว่าลักษณะเช่นนี้เป็นอาการและผลพวงของการที่รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากแบบปริ่มน้ำ อันเป็นผลร้ายของรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจที่ออกแบบมา การเสียบบัตรแทนกันจึงเกิดขึ้นอยู่เป็นนิจ" นายปิยบุตรระบุ
    ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายก้องภพ วังสุนทร หัวหน้าพรรคผึ้งหลวง ในฐานะรองประธานกลุ่มพรรคสหมิตร ซึ่งประกอบไปด้วย 30 พรรคการเมืองเดินทางมายื่นหนังสือต่อ กกต. เพื่อคัดค้านการประกาศรับรองนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร. หลังมีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ เมื่อวันที่ 28 ม.ค. เนื่องจากนายไพบูลย์ไม่มีสถานะเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนปฏิรูป เพราะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคดังกล่าวตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 56 (2) และตามประกาศผลการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อของ กกต.เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ประกอบกับเห็นว่าการคำนวณของ กกต. เมื่อวันที่ 28 ม.ค. น่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 (5) ซึ่งบัญญัติไว้ว่าให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ตามลำดับหมายเลขในบัญชีรายชื่อ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้นเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แสดงว่าในวันที่ กกต.คำนวณใหม่ นายไพบูลย์ไม่ได้เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคประชาชนปฏิรูปแล้ว เนื่องจากพรรคสิ้นสภาพ การคำนวณใหม่นายไพบูลย์ต้องไม่ได้รับการจัดสรรเป็น ส.ส. จึงอยากใหม่ กกต.ส่งเรื่องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการคำนวณคะแนนใหม่ของ กกต. เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
    “การคำนวณของ กกต. เมื่อวันที่ 24 มี.ค.2562 ถูกต้องทุกอย่าง แต่ครั้งนี้ กกต.ละเว้นรัฐธรรมนูญมาตรา 91 (5) อยากให้ กกต.ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป เพื่อเป็นบรรทัดฐานที่ถูกต้อง” นายก้องภพกล่าว และว่า การคำนวณครั้งนี้ กกต.จะอ้างว่านายไพบูลย์ได้ย้ายไปเป็นสมาชิกพรรค พปชร.แล้วไม่ได้ เพราะการคำนวณคะแนนใหม่ในวันที่ 28 ม.ค. นายไพบูลย์ไม่ได้อยู่ในสถานะผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชนปฏิรูป ถ้า กกต.จะตอบว่านายไพบูลย์ได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค พปชร.ก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็น 1 ใน 150 ของผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรค พปชร. และที่สำคัญคือการคำนวณใหม่ต้องยึดตามมาตรา 91 ของรัฐธรรมนูญ
    ด้านนายไพบูลย์กล่าวว่า เป็นสิทธิของผู้ร้องที่สามารถร้องได้ แต่คิดว่าเป็นการร้องตามความเข้าใจผิด และมั่นใจว่าจะไม่มีผลใดๆ ตามมาแน่นอน เพราะได้ตรวจสอบข้อกฎหมายมาอย่างดีแล้ว เชื่อว่าไม่มีผลอะไร.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"