โคโรนาไวรัส ฟาดหางเศรษฐกิจ-ตลาดหุ้น 


เพิ่มเพื่อน    

    ตั้งหลักแทบไม่ทันทีเลยเดียว สำหรับการระบาดของโรคปอดอักเสบอู่ฮั่น ที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งจนถึงตอนนี้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 100 คน
    ความน่ากลัวของเชื้อตัวนี้ ก็คือการระบาดที่รุนแรง วงกว้าง จนทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งจากผลการศึกษา ก็พบว่าเจ้าไวรัสโคโรนาตัวใหม่นี้สามารถแพร่กระจายไปสู่คนอื่นๆ ในช่วงระยะฟักตัว ซึ่งแตกต่างจากโรคปอดอักเสบ ของโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง หรือโรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome - SARS) และระบบทางเดินหายใจอักเสบตะวันออก (Middle East Respiratory Syndrome : MERS) หรือ “โรคเมอร์ส ที่จะแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นหลังจากมีอาการป่วยแล้ว  
    ส่งผลให้มีการควบคุมการแพร่กระจายทำได้ลำบาก และจึงเป็นเหตุให้ทางการจีนต้องงัดมาตรการฉุกเฉินปิดเมืองห้ามเดินทางเมื่อ 22 มกราคมที่ผ่านมา รวมถึงยังออกคำสั่งให้บริษัทนำเที่ยวทั่วประเทศหยุดดำเนินกิจกรรมท่องเที่ยว หยุดขายผลิตภัณฑ์ตั๋วเครื่องบินและโรงแรมอีกต่างหาก
    แน่นอน เรื่องการระบาดจากคนสู่คน และยังไม่สามารถควบคุมได้เป็นส่วนหนึ่งที่มีความน่ากังวล แต่การที่มีคำสั่งห้ามบริษัททัวร์ขายแพ็กเกจท่องเที่ยวนั้น กระทบกับธุรกิจท่องเที่ยวของไทยอย่างเต็มๆ
    ซึ่งทันทีที่มีการบังคับใช้มาตรการดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยสะเทือนอย่างหนัก ซึ่งพอตลาดเปิดวันแรกของสัปดาห์ ดัชนีได้มีการปรับตัวลดลงแรงถึง 45.40 จุด (-2.89%) มูลค่าการซื้อขาย 69,174.18 ล้านบาท และดัชนีมาอยู่ที่ 1,524.15 จุด เนื่องจากมีหลายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการออกมาตรการที่เข้มงวดของจีน ซึ่งก็คือหุ้นกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม, ค้าปลีก และโรงกลั่น ที่จะกระทบเป็นลูกโซ่ หลังจีนซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทยถูกเบรกไม่ให้ออกนอกประเทศ
    และตลอดสัปดาห์หุ้นไทยก็วนเวียนติดอยู่ในแดนลบ ตลอดทั้งสัปดาห์ จนตอนนี้แนวต้านที่ 1,500 จุด ถือเป็นแนวสำคัญ ที่หากปราการแตกล่ะก็ เป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ 
    จากการประเมินของกระทรวงคลังก็ยอมรับว่าการระบาดของไวรัสโคโรนาจะทำให้นักท่องเที่ยวหายไปราวๆ 4 แสนคน จากสมมติฐานที่เรื่องดังกล่าวได้รับการคลี่คลายภายใน 3 เดือน
    ด้านศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ก็เปิดเผยผลกระทบของการแพร่ระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่โคโรนาไวรัส ซึ่งคาดว่าจะส่งผลต่อภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 80,000-120,000 ล้านบาท หากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ภายในต้นเดือนมีนาคม หากไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยและเอเชียได้ขณะนี้ ในเบื้องต้นจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนในปีนี้ลดลงประมาณ 1-2 ล้านคน และนักท่องเที่ยวจากต่างชาติลดลงไม่ต่ำกว่า 2% ของเป้าหมายเลยทีเดียว
    ทั้งนี้ หลังจากการเกิดการะบาดทางโบรกเกอร์ ก็ได้ประเมินสถานการณ์สำหรับการลงทุนในตลาด โดยนางสาวนวลพรรณ น้อยรัชชุกร ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ส่งผลต่อหุ้นกลุ่มโรงแรม โดยได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุน จากเท่ากับตลาด เป็นน้อยกว่าตลาด รวมถึงให้หลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้นในกลุ่มโรงแรมระยะสั้น  เนื่องจากรับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นสัดส่วน 28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยหรือประมาณ 11 ล้านคน และ 29% ของรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยรวมทั้งหมด 2 ล้านล้านบาท ในปี 2562
    ขณะที่กลุ่มสายการบิน ให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาด จากผลกระทบสูงต่อผู้ที่มีรายได้จากลูกค้าจีน โดยปัจจุบัน AAV มีสัดส่วนรายได้จากจีนประมาณ 30%, AOT อยู่ที่ 15%, บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) อยู่ที่ 8% และบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BA) อยู่ที่ 2%
    ด้าน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า หุ้นกลุ่มโรงแรมคาดว่ารายได้ที่ลดลง 5-10% จะส่งผลให้กำไรสุทธิปีนี้ลดลง 8-15% โดยบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ERW) จะถูกกระทบหนักที่สุด เนื่องจากธุรกิจมีการกระจายตัวน้อย รองลงมาคือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) ซึ่งมี financial leverage อยู่ในระดับที่สูง ส่วน CENTEL จะถูกกระทบน้อยกว่าเพราะเกือบ 60% ของรายได้กระจายออกไปยังธุรกิจร้านอาหาร ทั้งนี้ ในกรณีที่สถานการณ์ดีขึ้น คาดว่าหุ้น ERW จะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง จากราคาหุ้นถูกกระทบหนักสุด
    ขณะเดียวกัน คาดว่าผลกระทบกับกลุ่มสายการบินจะมีระดับความรุนแรงพอๆ กัน โดยคาดว่าผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มนี้จะมี downside 6.6-25.0% หากคิดว่าจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศในปีนี้ลดลง 5-10% ซึ่งคาดว่า THAI จะถูกกระทบหนักที่สุดในกลุ่มสายการบินที่ บล.ดูแลอยู่ ส่วน AOT จะถูกกระทบน้อยที่สุดจากโครงสร้างธุรกิจที่ดี มีรายได้จากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบินถึง 44% แต่ภาวะตลาดจะกดให้หุ้นยังคงอ่อนแอไปจนกว่ากระแสข่าวการติดเชื้อจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
    อีกกลุ่มธุรกิจที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ก็ได้รับผลกระทบทางอ้อม ก็คือกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ซึ่งจากการตรวจสอบศูนย์การค้าใจกลางเมือง ที่ปกติจะมีลูกค้าจีนมาใช้บริการ ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน อย่างเครือ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ก็ชัดเจนว่า การที่นักท่องเที่ยวหายไปกระทบกับศูนย์การค้าใน 2-3 เดือนอย่างแน่นอน ทั้งในจำนวนของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาช็อปปิ้งและรายได้ที่จะหายไป โดยทางเดอะมอลล์มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนถึง 20% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่มาใช้บริการ
    ขณะที่กลุ่มเซ็นทรัล อย่าง บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ก็ยอมรับว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการในศูนย์ก็จะลดลงตามไปด้วย
    ยังไม่นับรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอีกเกือบทุกประเภท ที่จำเป็นจะต้องใช้วัตถุดิบจากจีน ที่อาจจะเกิดอุปสรรคในการขาดแคลนวัตถุดิบ เนื่องจากในประเทศจีนก็มีการขยายวันหยุดของโรงงานหลายแห่ง อย่างธุรกิจรถยนต์ หรือสินค้าไอที ก็อาจจะเกิดปัญหาการขาดแคลนอะไหล่เกิดขึ้นได้
    จะเห็นได้ว่า วิกฤติการระบาดในครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแค่ชีวิตมนุษย์เท่านั้น แต่ยังสะเทือนต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก และนักลงทุนจะต้องระมัดระวังต่อการคัดสรรการลงทุนให้มากขึ้น
    นี่แค่เพียงเดือนแรกของ ม.ค. ยังหนักหนาสาหัสขนาดนี้.  


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"