เริ่มต้นสงครามการค้า


เพิ่มเพื่อน    

               เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตไปเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน เมื่อทางการจีนได้ออกมาตอบโต้รัฐบาลสหรัฐ ด้วยการเล็งเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ 128 รายการ มูลค่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการตอบโต้กลับครั้งแรกของทางการจีน หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามกฎหมายฉบับใหม่ ขึ้นภาษีที่นำเข้าจากจีน 1,300 รายการ จะทำให้สหรัฐมีรายได้เพิ่มอีกประมาณ 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

               ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้การตอบโต้จากจีนครั้งแรกถือว่าเป็นการประกาศ “สงครามทางการค้า” ระหว่างสองประเทศ โดยทางการจีนจะใช้มาตรการทุกทาง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ ขณะที่สหรัฐก็ตั้งข้อจำกัดของการลงทุนจากจีนในสหรัฐ เพื่อลดการขาดดุลทางการค้ากับประเทศจีนให้มากกว่าเดิม ทำให้ตลาดหุ้น ทองคำ พันธบัตร และอื่นๆ ทั่วโลก ปั่นป่วนกันเลยทีเดียว

               แต่ถึงแม้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะดิ่งและตื่นตระหนกกันเพียงใด สำหรับตลาดหุ้นไทยกลับไม่ระคายเคืองมากนัก โดยทันทีที่เปิดการซื้อขาย ก็ร่วงตามชาวบ้านที่ 17 จุด และระหว่างวันลดลงต่ำสุด 18.82 จุด อยู่ที่ 1,779.73 จุด จากนั้นมีแรงซื้อกลับเข้ามาช่วยหนุนให้ดัชนีปิดที่ระดับ 1,794.21 จุด ลดลง 4.34 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.24% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 50,683.47 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติที่ปกติจะอยู่ในสถานะขายสุทธิ กลับมาซื้อสุทธิที่ 647.59 ล้านบาท เรียกได้ว่าแข็งแกร่งสวนทางกับชาวบ้านชาวช่องได้ดีทีเดียว

               เรื่องการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจทั้งสองประเทศนี้ ถือเป็นการเขย่าขวัญประเทศเล็กๆ น้อยๆ เป็นอย่างมาก เพราะกระทบกับห่วงโซ่กันไปหมด โดยนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการและกรรมการผู้อำนวยการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ถือเป็นปัจจัยกดดันการลงทุนตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นไทย แต่เชื่อว่าเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้นเท่านั้น แต่ต้องติดตามว่าสหรัฐจะมีมาตรการกีดกันการค้าในรูปแบบใดออกมาอีก และมีประเทศใดบ้างอยู่ในบัญชีรายชื่อที่สหรัฐจะใช้มาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าเพิ่ม

               ขณะที่ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (อีไอซี) ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า ทางการจีนสามารถเลือกใช้มาตรการเพื่อตอบโต้นโยบายกีดกันทางการค้าจากสหรัฐได้ 3 รูปแบบ ตามระดับความตึงเครียดและความรุนแรงของผลของทางเลือก นำไปสู่สงครามการค้าได้ทั้งสิ้น คือ การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ และการให้สิทธิพิเศษทางการค้าการลงทุนกับประเทศคู่ค้าอื่นๆ โดยยกเว้นไม่ให้สหรัฐได้รับประโยชน์, การจำกัดขอบเขต รวมถึงสร้างความยากลำบากต่อธุรกิจสหรัฐที่ดำเนินธุรกิจในจีน รวมถึงลดจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะเดินทางเข้าสหรัฐ

               นอกจากนี้ การลดการถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทางการจีนสามารถตอบโต้มาตรการทางการค้าจากสหรัฐทางอ้อมได้ โดยสร้างแรงกระเพื่อมผ่านตลาดการเงินได้โดยการเทขายสินทรัพย์ที่อยู่ในรูปของดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และหันไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลของประเทศพันธมิตรอื่นแทน

               ไม่ว่าทั้งสองประเทศจะเล่นสงครามกันนานแค่ไหน ประเทศรายย่อยอย่างเราๆ ควรหาทางแก้ไขไว้แต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะการส่งออกที่ต้องพึ่งพาสองประเทศนี้ อาจจะหาลู่ทางอื่น หรือไปที่ประเทศอื่นบ้าง เพื่อป้องกันความเสี่ยงและลดการผูกขาดแค่นี้ เพราะยังไม่มีใครรู้ว่าสงครามนี้จะจบอย่างไร.

ปฏิญญา สิงห์พิสาร


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"