ประชาชนหนุน 'มาตรการเข้ม' ฝ่าวิกฤติCOVID


เพิ่มเพื่อน    


    ผลโพลเผยคนส่วนใหญ่เกินร้อยละ 70 เอาด้วย ให้รัฐบาลประกาศสภาวะฉุกเฉินรับมือสู้กับไวรัสโควิด-19 ผลสำรวจพบนายกฯ มีฐานสนับสนุนจากภาคประชาชนไม่เพียงพอในยามที่ประเทศเผชิญภาวะวิกฤติ "นิด้าโพล" ชี้ประชาชนเอาด้วยสั่งห้ามคนต่างประเทศมาจากพื้นที่เสี่ยงเข้าไทยเด็ดขาด  
    เมื่อวันที่ 15 มีนาคม นายมนตรี วิบูลยรัตน์ ที่ปรึกษาด้านข้อมูลธรรมาภิบาล สำนักวิจัยซูเปอร์โพล ร่วมกับนายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจภาคสนามเรื่อง โมเดลแก้โควิด-19 กระตุ้นเชื่อมั่น กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,306 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 9-14 มีนาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา
    ผลสำรวจระบุว่า เมื่อสอบถามประเด็นแก้โควิด-19 จำแนกตามจุดยืนทางการเมือง พบว่า ประชาชนทั้ง 3 กลุ่มคือ กลุ่มสนับสนุนรัฐบาล กลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาล และกลุ่มพลังเงียบที่อยู่ตรงกลาง ส่วนใหญ่ในทุกกลุ่มเห็นด้วยกับ “โมเดลแก้โควิด-19 กระตุ้นเชื่อมั่น” ร้อยละ 84.3 ของกลุ่มสนับสนุนรัฐบาล, ร้อยละ 89.0 ของกลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาล และร้อยละ 85.7 ของกลุ่มพลังเงียบอยู่ตรงกลาง เห็นด้วยว่าควรลงโทษหนักขบวนการกักตุน สินค้าจำเป็นทางการแพทย์เร่งด่วน เช่น หน้ากากอนามัย
    นอกจากนี้ ร้อยละ 77.0 ในกลุ่มหนุนรัฐบาล, ร้อยละ 85.8 ในกลุ่มไม่หนุนรัฐบาล และร้อยละ 82.0 ในกลุ่มพลังเงียบอยู่ตรงกลาง เห็นด้วยว่าควรปรับปรุงระบบข้อมูลรายงานความเป็นจริง ในขณะที่ร้อยละ 82.8 ของกลุ่มหนุนรัฐบาล, ร้อยละ 84.7 ในกลุ่มไม่หนุนรัฐบาล และร้อยละ 79.2 ในกลุ่มพลังเงียบ เห็นด้วยว่าควรแก้ไขเพิ่มเติมงบประมาณดูแลบุคลากรทางการแพทย์
    ผลสำรวจมีประเด็นที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่ในทุกกลุ่ม ได้แก่ ร้อยละ 82.0 ในกลุ่มหนุนรัฐบาล, ร้อยละ 84.1 ในกลุ่มไม่หนุนรัฐบาล และร้อยละ 77.4 ในกลุ่มพลังเงียบ เห็นด้วยว่าเอาหน้ากากอนามัยไปแจกที่โรงพยาบาลให้บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ใกล้ชิดคนเจ็บป่วย นอกจากนี้ ร้อยละ 85.2 ในกลุ่มหนุนรัฐบาล, ร้อยละ 84.7 ในกลุ่มไม่หนุนรัฐบาล และร้อยละ 80.2 ในกลุ่มพลังเงียบ เห็นด้วยว่าควรเพิ่มชุดป้องกันการติดเชื้อและแพร่ระบาด 100% ให้แพทย์หรือบุคลากรที่เสี่ยงสูงในแหล่งแพร่ระบาด
    ขณะเดียวกัน ส่วนใหญ่ในทุกกลุ่มคือ เกินกว่าร้อยละ 70 ขึ้นไป ทั้งในกลุ่มหนุนรัฐบาล กลุ่มไม่หนุนรัฐบาล และกลุ่มพลังเงียบ เห็นด้วยว่าควรปรับปรุงเรื่องอุปกรณ์และสิ่งจำเป็นทางการแพทย์ใหม่ มีรถตรวจสอบโควิด-19 เคลื่อนที่ ตามจุดเสี่ยง มีนโยบายควบคุมที่เคร่งครัดจัดเต็ม จัดสถานที่ดูแลผู้สงสัยติดเชื้อแยกต่างหาก จากโรงพยาบาล ควรมีสถานที่กักกัน แยกออกจากโรงพยาบาล และจุดวัดไข้ คัดกรอง ไม่ควรทำที่โรงพยาบาลเพื่อลดความแออัดและภารกิจของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น
    นายมนตรีกล่าวว่า เสียงของประชาชนส่วนใหญ่มีความชัดเจนเป็นไปในทิศทางเดียวกันของทุกประเด็นในการศึกษาครั้งนี้ เกินกว่าร้อยละ 70 ทั้งกลุ่มคนหนุนรัฐบาล กลุ่มไม่หนุนรัฐบาล และกลุ่มพลังเงียบ ที่เห็นว่ารัฐบาลควรประกาศสภาวะฉุกเฉิน คุมโรคระบาดไวรัสโควิด-19 และใช้โอกาสนี้สร้างผลงานด้านอื่นๆ ด้วยความรวดเร็ว ฉับไว ตอบโจทย์โดนใจประชาชนได้แท้จริง การจัดการข้อมูล (COVID-19 Data Management) เป็นสิ่งจำเป็นต้องทำตามหลักธรรมาภิบาล พลิกวิกฤติเป็นโอกาส กระตุ้นความเชื่อมั่นของสาธารณชนกลับคืนมา
    "รัฐบาลต้องเน้นความสำคัญของการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ในทุกรูปแบบ เพราะหัวใจอยู่ตรงนั้นที่ต้องเผชิญกับการสัมผัสผู้ป่วยโดยตรงควรมีอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์และทุ่มเทงบประมาณดูแลเพิ่มเติมให้พวกเขาอย่างเหมาะสมเพราะถ้าบุคลากรทางการแพทย์ไปไม่รอด ประเทศนี้ก็ไปไม่รอดเช่นเดียวกัน" นายมนตรีกล่าว
    ขณะที่นายนพดลกล่าวว่า ในยามวิกฤตินี้ ประเมินได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีฐานสนับสนุนจากภาคประชาชนไม่เพียงพอ ในยามที่ประเทศและประชาชนกำลังเผชิญกับความยากลำบากนี้ ดังนั้น คนไทยทุกคนคงต้องทำตัวเสมือนนายทหารผู้กล้า ที่ต้องลุกขึ้นลุยไปกับผู้นำประเทศ ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ตื่นตระหนก
    วันเดียวกัน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชนเรื่อง “COVID-19” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 11-12 มีนาคม 2563 จำนวน 1,260 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในประเทศไทย
    นิด้าโพลระบุว่า จากการสำรวจเมื่อถามประชาชนถึงความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในประเทศไทย พบว่า ร้อยละ 32.86 ระบุว่ามีความกังวลมาก, ร้อยละ 35.32 ระบุว่าค่อนข้างมีความกังวล, ร้อยละ 18.33 ระบุว่าไม่ค่อยมีความกังวล
    ผลสำรวจได้ถามถึงมาตรการที่รัฐบาลควรมีเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในประเทศไทย พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 35.95 ระบุว่ารัฐบาลควรสั่งไม่ให้คนต่างชาติจากประเทศกลุ่มเสี่ยงเข้าประเทศ รองลงมา ร้อยละ 32.70 ระบุว่าลงโทษจริงจังและหนักขึ้นสำหรับคนที่กลับจากประเทศเสี่ยงแต่ไม่กักตนเอง, ร้อยละ 28.02 ระบุว่าลงโทษจริงจังและหนักขึ้นสำหรับคนที่กักตุนหน้ากากอนามัย, ร้อยละ 25.08 ระบุว่าลงโทษจริงจังและหนักขึ้นสำหรับคนที่ขายหน้ากากอนามัย/แอลกอฮอล์เจลล้างมือในราคาแพงเกินกว่าเหตุ, ร้อยละ 23.17 ระบุว่ารัฐบาลควรมีศูนย์ข้อมูลเกี่ยวกับ COVID-19 ที่ชัดเจน, ร้อยละ 18.17 ระบุว่ารัฐบาลควรทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะครั้งใหญ่, ร้อยละ 14.37 ระบุว่ารัฐบาลควรทำความสะอาดอาคารสนามบินครั้งใหญ่, ร้อยละ 13.02 ระบุว่ารัฐบาลควรสั่งปิดประเทศ, ร้อยละ 7.62 ระบุว่ารัฐบาลควรสั่งปิดสถานที่ชุมชน เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงหนัง สนามกีฬา เป็นต้น, ร้อยละ 2.38 ระบุว่ารัฐบาลควรแจกหน้ากากอนามัย/แอลกอฮอล์เจลล้างมือให้แก่ประชาชน และร้อยละ 8.02 ระบุว่าไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"