อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาติงกรณี 'บ้านพักขรก.ศาล' รักป่าแต่ต้องศึกษากฎหมาย


เพิ่มเพื่อน    

31 มี.ค. 61 - นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา  โพสต์ข้อความผ่าน Chuchart Srisaeng ระบุว่า 

.....นายลำพูนเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินที่เจ้าพนักงานที่ดินออกให้โดยชอบตามประมวลกฎหมายที่ดิน มีเนื้อที่ 30 ไร่ โดยบิดายกให้ตั้งแต่นายลำพูนอายุ 20 ปี

.....ที่ดินอยู่เนินเขามีอาณาเขตติดต่อกับป่าบนเขาซึ่งต่อมาทางราชการได้ประกาศให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ แต่ไม่ได้รวมเอาที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของนายลำพูนเข้าไปด้วย

.....บิดาของนายลำพูนถึงแก่ความตายในขณะที่นายลำพูนมีอายุ 23 ปีและกำลังศึกต่ออยู่ในต่างประเทศ หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินอีก 

.....นายลำพูนจบการศึกษาแล้วได้ประกอบธุรกิจอยู่ในต่างประเทศจนอายุ 70 ปี จึงกลับมาอยู่เมืองไทยและไปก่อสร้างบ้านพักในที่ดินแปลงดังกล่าวที่ได้ปล่อยทิ้งร้างไว้ถึง 47 ปี มีต้นไม้ต่างๆ ที่งอกขึ้นเองตามธรรมชาติโตขึ้นเรื่อยๆ จนมีขนาดใกล้เคียงกับต้นไม้ในป่าสงวนแห่งชาติ 

.....ในขณะที่นายลำพูนตัดฟันต้นไม้และเริ่มลงมือก่อสร้างบ้าน ประชาชาชนที่อยู่ในบริเวณนั้นไม่มีผู้ใดสนใจเพราะรู้ว่าที่ดินเป็นของนายลำพูน เพราะแม้จะมีต้นไม่ขึ้นมาเต็มเนื้อที่แต่ไม่ทำให้ที่ดินกลายเป็นป่าสงวนแห่งชาติหรือป่าตามกฎหมาย

.....จนกระทั่งนายลำพูนสร้างบ้านใกล้เสร็จ นายลำปางซึ่งเคยมีเรื่องพิพาทกับบิดาของนายลำพูนมาก่อนหาเรื่องแกล้งกล่าวหาว่านายลำพูนบุกรุกทำลายป่า พร้อมถ่ายรูปบริเวณที่นายลำพูนสร้างบ้านส่งให้สื่อมวลชนเสนอข่าว

.....ผู้ที่เห็นภาพถ่ายบ้านของนายลำพูนที่กำลังก่อสร้างอยู่โดยที่รอบๆ บริเวณบ้านเป็นป่าที่มีต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด ก็พากันประนามนายลำพูนว่าบุกรุกทำลายป่า 

.....นายลำพูนชี้แจงหลายครั้งว่า ที่แปลงนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของตนไม่ใช่ป่าหรือป่าสงวน ผู้คนบางส่วนเมื่อได้รับคำชี้แจงแล้วก็เข้าใจ แต่ก็มีพวกที่ไม่ยอมรับฟังเหคุผลหรือหลักกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ยังด่านายลำพูนว่าบุกรุกป่าทำลายป่าไม้ต่อไป

.....ตัวอย่างที่กล่าวมานี้เพื่อต้องการเปรียบเทียบกับกรณีที่สำนักงานศาลยุติธรรมกำลังก่อสร้างอาคารสำนักงานศาลอุทธรณ์ภาค ๕ อาคารบ้านพักข้าราชการตุลาการและข้าราชการธุระการ ในที่ราชพัสดุที่กระทรวงการคลังอนุญาตให้ก่อสร้าง โดยมีผู้กล่าวหาเป็นการบุกรุกทำลายป่า

.....พระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๕ บัญญัติว่า ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุ ดังนั้นแม้มีต้นไม้งอกขึ้นมาในที่ราชพัสดุและมีขนาดเดียวกับต้นไม้ในป่าก็ไม่ทำให้ที่ราชพัสดุกลายเป็นป่าสงวนหรือเป็นป่าไปได้ ไม่ต่างจากที่ดินของนายลำพูนที่ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของนายลำพูน และที่ราชพัสดุแปลงนี้ก็ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของกระทรวงการคลัง

.....นายลำพูนไม่ได้บุกรุกป่าสงวนหรือป่าฉันใด สำนักงานศาลยุติธรรมก็ไม่ได้บุกรุกป่าสงวนหรือป่าฉันนั้น

.....การเป็นคนรักหวงแหนป่าไม้ของชาติเป็นเรื่องที่ดี แต่ก่อนจะวิพากษ์วิจารณ์หรือตำหนิติเตียนว่ามีการกระทำผิดกฎหมาย ต้องศึกษาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้รู้เสียก่อนว่าความจริงเป็นอย่างไร ไม่ใช่พอมีผู้ใดนำเรื่องใดมากล่าวก็แห่ด่าว่าตามกันไปโดยที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงอะไรเลย

.....โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชนยิ่งต้องตระหนักว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรจึงเสนอข่าว ไม่ใช่เสนอข่าวไปโดยที่ยังไม่รู้ว่าความจริงที่ถูกต้องเป็นอย่างไร


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"