'เลขาฯกรณ์' โต้ยิบ 'ส.ส.สาวก้าวไกล' อภิปรายพาดพิงพรก.ไทยเข้มแข็ง


เพิ่มเพื่อน    

30 พ.ค.63 - จากกรณี นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.พรรคก้าวไกล กล่าวพาดพิง พรก.ไทยเข้มแข็งโดยระบุว่า ในปี 2552 รัฐบาลได้ดำเนินโครงการไทยเข้มแข็ง แม้สภาพเศรษฐกิจจะไม่หนักเท่าครั้งนี้ แต่รัฐบาลดังกล่าวก็ได้ตั้งเป้าหมายไว้อย่างชัดและสุดท้ายก็ไม่ได้เป็นไปตามเป้า จนทำให้โครงการต้องยุติลง ครั้งนั้นประเทศเราตั้งเป้าไว้ชัดเจน สุดท้ายก็ยังพลาดเป้า แต่รัฐบาลนี้ไม่มีแม้กระทั่งเป้าหมาย แล้วสุดท้ายเราจะประเมินกันอย่างไรว่าโครงการประสบความสำเร็จหรือไม่

นายพัสณช เหาตะวานิช ผู้ช่วยประจำตัวนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในช่วงที่ประเทศไทยประสบวิกฤตการเงินแฮมเบอร์เกอร์ และมีการออกพรก.กู้เงินไทยเข้มแข็ง 4 แสนล้านบาท โพสต์ทวิตเตอร์ส่วนตัวโดยระบุว่า ไทยเข้มแข็ง ทำให้ประเทศไทยฟื้นจากวิกฤตการเงินโลกแฮมเบอร์เกอร์ เร็วอันดับ 2 รองจากไต้หวัน ศก.กลับมาโต 7.8% ส่งออก +28%

“คุณกรณ์ ได้ รมว.คลังโลก คนแรกของไทย คงไม่เรียกว่า 'พลาด' หรอกนะครับ เป้าหมายคือ พรก.1 ล้านล้าน อภิปรายแค่จุดนี้ให้ดี เท่านี้ ทำให้ได้ก่อนครับ” นายพัสณช กล่าว

นอกจากนี้ทางเพจทีมกรณ์ ยังได้ระบุในเรื่องเดียวกันว่า เกิดปัญหาวิกฤติซับไพรม์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือที่เรียกว่า “วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์” ในช่วงปี 2551 ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ทำให้รัฐบาลจึงทำงบประมาณรายจ่ายกลางปี 2552 เพิ่มเติมอีก 97,560 ล้านบาท มากระตุ้นเศรษฐกิจ และเมื่อนำมารวมกับยอดการขาดดุลของงบฯ ปกติ 249,500 ล้านบาทแล้ว ทำให้ยอดการขาดดุลงบประมาณโดยรวมอยู่ที่ 347,060 ล้านบาท

ต่อมา ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2552 กระทรวงการคลังจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายเป็นจำนวนมาก 280,000 ล้านบาท รัฐบาลมีภาระที่ต้องก็เงินมาชดเชยรายได้ส่วนที่ขาดหายไป และเมื่อนำไปรวมกับยอดการขาดดุลงบประมาณปี 2552 วงเงิน 347,000 ล้านบาทแล้ว ในปีนั้นรัฐบาลต้องออกพันธบัตรกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลทั้งสิ้น 627,000 ล้านบาท ขณะที่ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ 2502 และ พ.ร.บ.หนี้สาธารณะ 2548 ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินได้ไม่เกิน 441,000 ล้านบาท ยังขาดเงินที่รัฐบาลนำมาปิดงบประมาณอยู่ประมาณ 186,000 ล้านบาท

และนี่ก็คือที่มาของ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ 2552 วงเงิน 400,000 ล้านบาท โดยนายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น ได้กำหนดกรอบวัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินเอาไว้ชัดเจน แบ่งการใช้จ่ายเงินออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก วงเงินไม่เกิน 200,000 ล้านบาท เตรียมไว้ใช้สมทบเงินคงคลัง รองรับการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2552 และส่วนที่ 2 วงเงินไม่น้อยกว่า 200,000 ล้านบาท เตรียมไว้ใช้ในโครงการไทยเข้มแข็ง 2555 มีระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี (2553-2555)

ช่วงนั้นก็มีคำถามจากฝ่ายค้านว่า การกู้เงินในลักษณะนี้ เป็นกรณีฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วนถึงขั้นที่ต้องตราขึ้นเป็นพระราชกำหนดจริงหรือไม่ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จึงส่งร่าง พ.ร.ก. ฉบับนี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า พ.ร.ก.กู้เงิน 400,000 ล้านบาท ตราขึ้นเพื่อประโยชน์และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วน ตามมาตรา 184 วรรค 2 ต่อมาก็ได้ส่งร่าง พ.ร.ก. ฉบับนี้ให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรผ่านความเห็นชอบเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2552 กำหนดกรอบวัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินเอาไว้ 8 ด้าน ขณะนั้นมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 227,939 ล้านบาท รายละเอียดมีดังนี้

1. การสร้างความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน อนุรักษ์ระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อม และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม วงเงิน 4,550 ล้านบาท
2. การปรับปรุงบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ทันสมัย และจำเป็นต่อการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน วงเงิน 34,109 ล้านบาท
3. การเร่งรัดและสร้างศักยภาพในการหารายได้จากการท่องเที่ยว วงเงิน 5,457 ล้านบาท
4. การสร้างฐานรายได้ใหม่ของประเทศจากเศรษฐกิจความคิดสร้างสรรค์ หรือเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ 3,425 ล้านบาท
5. การยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ทั้งระบบให้ทันสมัย 13,008 ล้านบาท
6. การปฏิรูปคุณภาพระบบสาธารณสุขที่มีมาตรฐานสูงสำหรับคนไทย
7. การสร้างอาชีพและรายได้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระดับชุมชน 81,183 ล้านบาท
8. การประกันรายได้ให้แก่เกษตรกร และชดเชยภาระดอกเบี้ยเงินกู้ 41,932 ล้านบาท
ข้อสังเกต กรอบการใช้จ่ายเงินกู้ที่นำมาใช้ในโครงการไทยเข้มแข็ง 2555 ให้น้ำหนักกับการกระจายเม็ดเงินลงไปสู่เศรษฐกิจฐานรากเป็นสำคัญ เช่น ในกลุ่มของการสร้างอาชีพและรายได้ในระดับชุมชน 81,183 ล้านบาท ถัดมาโครงการประกันรายได้เกษตรกร 41,932 ล้านบาท และกลุ่มงานปรับปรุงบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน 34,109 ล้านบาท

ต่อมา เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ผลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อนำมาสมทบเงินคงคลังไปแค่ 50,000 ล้านบาท ปรากฏว่าฐานะเงินคงคลังของรัฐบาลดีขึ้นเป็นลำดับ ณ วันที่ 30 กันยายน 2552 ฐานะเงินคงคลังมียอดคงค้างอยู่ที่ 293,835 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสม เพียงพอต่อการเบิกจ่ายงบประมาณได้ ไม่จำเป็นต้องกู้เงินส่วนที่เหลือ 150,000 ล้านบาทอีกต่อไป รัฐบาลอภิสิทธิ์จึงมีโอนวงเงินกู้ส่วนที่เหลือ 150,000 ล้านบาทมาใช้ในโครงการไทยเข้มแข็ง 2555 ทำให้มียอดรวมอยู่ที่ 350,000 ล้านบาท มีโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากโครงการไทยเข้มเข้มแข็งกว่า 40,000 โครงการ

เฉพาะโครงการที่สำคัญๆ เช่น โครงการจ่ายเงินอุดหนุนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น วงเงิน 23,000 ล้านบาท, โครงการเพิ่มทุนให้แบงก์รัฐ 6 แห่ง วงเงิน 17,412 ล้านบาท, โครงการบริหารจัดหาแหล่งน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทาน วงเงิน 18,761 ล้านบาท, โครงการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชลประทาน วงเงิน 16,594 ล้านบาท, โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย วงเงิน 8,011 ล้านบาท, โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำ 5,412 ล้านบาท

ด้านกระทรวงคมนาคม ก็มีโครงการถนนไร้ฝุ่นของกรมทางหลวงชนบท วงเงิน 14,657 ล้านบาท ดำเนินการก่อสร้างถนนลาดยางในท้องถิ่น 75 จังหวัดทั่วประเทศ, โครงการบำรุงรักษาทางหลวง วงเงิน 13,910 ล้านบาท และโครงการส่งเสริมเพิ่มศักยภาพการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานฯ วงเงิน 10,607 ล้านบาท ด้านการศึกษา ก็จะมีโครงการยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษาสู่ความทันสมัย วงเงิน 6,539 ล้านบาท ผลิตนักศึกษาที่มีคุณภาพป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน, โครงการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนสู่มาตรฐาน 7,152 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างแฟลตตำรวจ 163 หลัง และเรือนแถวตำรวจชั้นประทวน 227 หลัง วงเงิน 3,781 ล้านบาท เป็นต้น

ผลจากการดำเนินนโยบายการคลังมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2552 มาจนถึงปี 2553 โดยผ่านกลไกงบประมาณขาดดุลวงเงิน 350,000 ล้านบาท เมื่อนำมาเข้าไปรวมกับการเบิกจ่ายเงินกู้ไทยเข้มแข็งอีก 219,000 ล้านบาท ประกอบกับเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ถือว่า “จุดติด” เช่นกัน โดยในปี 2553 เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวเป็นบวกที่ 7.8% ต่อปี เทียบกับปี 2552 ติดลบ 2.3%


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"