น้องกิตติวุฑโฒเข้าคุกวืดประกันฮุบที่สงฆ์


เพิ่มเพื่อน    


     กองปราบฯ ฝากขังน้องกิตติวุฒโฑกับลูกชาย ยักยอกที่ดินสงฆ์ 4 พันไร่ ญาติยื่นเงินสดประกันตัวคนละ 1 ล้าน ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องร้ายแรงต่อพุทธศาสนา มูลค่าความเสียหายสูง ไม่อนุมัติ ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำทันที    
     เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนนี้ ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พ.ต.ท.วิทวัส สายอ๋อง พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้ควบคุมตัวนายบุญช่วย เจริญสถาพร อายุ 79 ปี ภูมิลำเนา จ.สงขลา และนายกิตติพงษ์ เจริญสถาพร อายุ 43 ปี ภูมิลำเนา จ.จันทบุรี บุตรชายของนายบุญช่วย ผู้ต้องหาที่ 1-2 คดียักยอกที่ดินมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรก เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 11-22 มิ.ย.นี้ เนื่องจากต้องสอบพยานอีก 10 ปาก และรอผลตรวจลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหา
    คำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.2563 พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาทั้งสองว่า ร่วมกันยักยอก, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานและแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความลงในเอกสารราชการ, ร่วมกันเบิกความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 177, 267, 352 ประกอบ 83 โดยเหตุจากเมื่อปี พ.ศ.2510 มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย ได้จัดตั้งเป็นนิติบุคคล มีพระกิตติวุฑโฒเป็นกรรมการผู้จัดการมูลนิธิ
    ต่อมาปี พ.ศ.2513-2515 พระกิตติวุฑโฒซื้อที่ดินที่เป็น นส.3 (หนังสือรับรองทำประโยชน์ในที่ดินที่มีเพียงสิทธิครอบครองไม่มีกรรมสิทธิ์) และที่ดินมือเปล่า รวมเนื้อที่ 4,000 ไร่ ในราคา 12 ล้านบาท จากนายสมพล โกศลานันท์ เจ้าของที่ดิน โดยนำเงินที่เรี่ยไรการทำบุญมาจากพุทธศาสนิกชนที่มีจิตศรัทธา ไปชำระให้นายสมพล 8 ล้านบาท แล้วนายสมพลส่งมอบที่ดินให้ครอบครองเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม ทำกิจกรรมทางศาสนา ระหว่างนั้นมีการมอบหมายผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งเป็นน้องชายของพระกิตติวุฑโฒมาดูแล และมีผู้ต้องหาที่ 2 มาอยู่ด้วย โดยผู้ต้องหาทั้งสองได้ไปติดต่อหน่วยราชการและเสียภาษีที่ดินในนามมูลนิธิ จนมาถึงปี พ.ศ.2538 นายสมพลเสียชีวิต และปี พ.ศ.2548 พระกิตติวุฑโฒมรณภาพ ก็ไม่มีการเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดิน
    ปี พ.ศ.2550 นายบุญช่วย ผู้ต้องหาที่ 1 มีเจตนาทุจริตต้องการเอาที่ดินมาเป็นของตนเอง จึงวางแผนด้วยการทำเอกสารอันเป็นเท็จระบุว่า นายบุญช่วย ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นผู้ซื้อที่ดินทั้งหมดจากนายสมพล (ที่เสียชีวิตไปเมื่อปี พ.ศ.2538) เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดจันทบุรี ต่อมามีการสมยอมกันระหว่างผู้ต้องหาที่ 1 กับนายเรวัติ โกศลานันท์ ทายาทของนายสมพล จนเป็นเหตุให้ศาลจังหวัดจันทบุรีมีคำพิพากษาตามยอม โดยผู้ต้องหาที่ 1 ใช้คำพิพากษาไปยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อเปลี่ยนชื่อทางทะเบียน ใน นส.3 จากนายสมพลมาเป็นชื่อของนายบุญช่วย ผู้ต้องหาที่ 1 แต่เจ้าพนักงานที่ดินโต้แย้งว่านายเรวัติไม่ใช่ทายาทของนายสมพลเพียงคนเดียว จึงไม่จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อให้ ต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 จึงทำเอกสารเท็จขึ้นมาอีก ให้ทายาทของนายสมพลอีก 2 คนลงนามว่านายสมพลขายที่ดินให้ผู้ต้องหาที่ 1 แล้วนำไปเสนอต่อศาล แล้วต่อมาศาลจังหวัดจันทบุรีได้มีหนังสือให้เจ้าพนักงานที่ดินโอนเปลี่ยนชื่อใน นส.3 จากชื่อนายสมพลเป็นนายบุญช่วย ผู้ต้องหาที่ 1
    ปี พ.ศ.2553-2554 ผู้ต้องหาที่ 1-2 มีเจตนาแย่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินของมูลนิธิมาเป็นของตัวเอง ด้วยการแจ้งความเท็จกับเจ้าพนักงานที่ดินว่าตนเป็นเจ้าของที่ดิน นส.3 และที่ดินเปล่าทั้งหมด ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดให้ผู้ต้องหาที่ 1-2 รวม 99 ฉบับ ต่อมาทายาทนายสมพลทราบเรื่องดังกล่าว จึงไปยื่นฟ้องศาลเพื่อทวงที่ดินคืนจากผู้ต้องหาที่ 1 และเป็นเหตุให้ฟ้องร้องต่อเนื่องกันไปมาทั้งแพ่ง-อาญา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2554-2562 และมีการเบิกความเท็จต่อศาลจังหวัดจันทบุรี 3 คดี ผู้ต้องหาที่ 1 เบิกความเท็จรวม 8 กรรม และผู้ต้องหาที่ 2 เบิกความเท็จ 4 กรรม เป็นเหตุให้มูลนิธิ ซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริง เสียหาย 207,178,580 บาท (ตามราคาซื้อขายในปัจจุบันราคาไร่ละ 700,000 บาท รวมราคาที่ดินประเมิน 2,450 ล้านบาท) มูลนิธิจึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับกองปราบฯ เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสอง เหตุเกิดที่ จ.จันทบุรี ระหว่างวันที่ 3 พ.ค.2550 - 13 ก.ย.2562 ต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
    ท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนขอคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวด้วย เนื่องจากผู้ต้องหามีพฤติการณ์เหิมเกริม สร้างพยานหลักฐานเท็จเอาไปฟ้องศาล และให้การเท็จต่อศาลหลายครั้ง โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ยักยอกเอาทรัพย์ของมูลนิธิไปทั้งหมดโดยไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรม
    ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้ ขณะที่ผู้ต้องหาทั้งสองยื่นหลักทรัพย์เงินสดคนละ 1 ล้านบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่าพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงต่อพระพุทธศาสนา และมูลค่าความเสียหายในคดีสูง ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกัน หากปล่อยชั่วคราวเกรงว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน และอาจหลบหนีได้ ในชั้นนี้จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในชั้นฝากขังนี้ต่อไป.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"