กองปราบฯ ส่งสำนวนฟ้อง 'น้องชายพระกิตติวุฑโฒ' ฮุบที่ดินสงฆ์ 4 พันไร่ ให้อัยการ


เพิ่มเพื่อน    

25 มิ.ย.63 - ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง.ผบก.ป. พร้อมทีมพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้นำสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นายบุญช่วย เจริญสถาพร อายุ 79 ปี น้องชายของพระกิตติวุฑโฒ และนายกิตติพงษ์ เจริญสถาพร อายุ 43 ปี บุตรชายของนายบุญช่วย ผู้ต้องหาที่ 1-2 คดียักยอกที่ดินมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ ในความผิดฐานร่วมกันยักยอก, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานและแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความลงในเอกสารราชการ และร่วมกันเบิกความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 177, 267, 352 ประกอบ มาตรา 83 มายื่นต่อพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญาเพื่อพิจารณาสั่งคดี สำหรับพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำมายื่นวันนี้ ประกอบด้วยบัญชีพยานจำนวน 122 ปาก บรรจุ 12 แฟ้ม ความหนา 5,585 แผ่น

โดย พ.ต.อ.เอนก ยืนยันว่า พยานหลักฐานที่มีสามารถเอาผิดผู้ต้องหาได้ เนื่องจากปรากฎพยานหลักฐานชัดเจนว่าเจ้าของที่ดินของใคร ประกอบกับการสอบปากคำพยานกว่า 120 ปาก ให้การสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน ตั้งแต่ความเป็นมาของที่ดินแปลงนี้ ความเป็นไปของมูลนิธิฯ และเจตจำนงในการใช้ที่ดิน

สำหรับพฤติการณ์คดีนี้ มีเหตุจากเมื่อ พ.ศ.2510 มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย ได้จัดตั้งเป็นนิติบุคคล มีพระกิตติวุฑโฒเป็นกรรมการ ผู้จัดการมูลนิธิ  ต่อมา พ.ศ.2513-2515 พระกิตติวุฑโฒซื้อที่ดินที่เป็น นส.3 (หนังสือรับรองทำประโยชน์ในที่ดินที่มีเพียงสิทธิครอบครองไม่มีกรรมสิทธิ์) และที่ดินมือเปล่า รวมเนื้อที่ 4,000 ไร่ ในราคา 12 ล้านบาท จากนายสมพล โกศลานันท์ เจ้าของที่ดิน โดยนำเงินที่เรี่ยไรการทำบุญมาจากพุทธศาสนิกชนที่มีจิตศรัทธา ไปชำระให้นายสมพล 8 ล้านบาทแล้วนายสมพล ส่งมอบที่ดินให้ครอบครองเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม ทำกิจกรรมทางศาสนา ระหว่างนั้นมีการมอบหมายผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งเป็นน้องชายของพระกิตติวุฑโฒมาดูแล และมีผู้ต้องหาที่ 2 มาอยู่ด้วย โดยผู้ต้องหาทั้งสองได้ไปติดต่อหน่วยราชการและเสียภาษีที่ดินในนามมูลนิธิฯ จนมาถึง พ.ศ.2538 นายสมพล เสียชีวิต และ พ.ศ.2548 พระกิตติวุฑโฒ มรณภาพ ก็ไม่มีการเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดิน

ต่อมา พ.ศ.2550 นายบุญช่วย ผู้ต้องหาที่ 1 มีเจตนาทุจริตที่ต้องเอาที่ดินซึ่งเป็นของมูลนิธิที่ตนครอบครองแทนอยู่ให้มาเป็นของตนเอง จึงวางแผนด้วยการทำเอกสารอันเป็นเท็จระบุว่า นายบุญช่วย ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นผู้ซื้อที่ดินทั้งหมดจากนายสมพล (ที่เสียชีวิตไปเมื่อ พ.ศ.2538) เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดจันทบุรี ต่อมามีการสมยอมกันระหว่างผู้ต้องหาที่ 1 กับนายเรวัติ โกศลานันท์ ทายาทของนายสมพล จนเป็นเหตุให้ศาลจังหวัดจันทบุรี มีคำพิพากษาตามยอม โดยผู้ต้องหาที่ 1 ใช้คำพิพากษาไปยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อเปลี่ยนชื่อทางทะเบียน ใน นส.3 จากนายสมพลมาเป็นชื่อของนายบุญช่วย ผู้ต้องหาที่ 1 แต่เจ้าพนักงานที่ดินโต้แย้งว่านายเรวัติไม่ใช่ทายาทของนายสมพลเพียงคนเดียว จึงไม่จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อให้ ต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 จึงทำเอกสารเท็จขึ้นมาอีก ให้ทายาทของนายสมพลอีก 2 คนลงนามว่านายสมพลขายที่ดินให้ผู้ต้องหาที่ 1 แล้วนำไปเสนอต่อศาล แล้วต่อมาศาลจังหวัดจันทบุรีได้มีหนังสือให้เจ้าพนักงานที่ดินโอนเปลี่ยนชื่อใน นส.3  จากชื่อนายสมพลเป็นนายบุญช่วย ผู้ต้องหาที่ 1

พ.ศ.2553 -2554 ผู้ต้องหาที่ 1-2 มีเจตนาแย่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินของมูลนิธิฯ มาเป็นของตัวเอง ด้วยการแจ้งความเท็จกับเจ้าพนักงานที่ดินว่าตนเป็นเจ้าของที่ดิน นส.3  และที่ดินเปล่าทั้งหมด ทำให้เจ้าพนักงานที่ดิน ออกโฉนดให้ผู้ต้องหาที่ 1-2 รวม 99 ฉบับ ต่อมาทายาทนายสมพล ทราบเรื่องดังกล่าว จึงไปยื่นฟ้องศาลเพื่อทวงที่ดินคืนจากผู้ต้องหาที่ 1 และเป็นเหตุให้ฟ้องร้องต่อเนื่องกันไปมาทั้งแพ่ง-อาญาตั้งแต่ พ.ศ.2554-2562 และมีการเบิกความเท็จต่อศาลจังหวัดจันทบุรี 3 คดี ผู้ต้องหาที่ 1 เบิกความเท็จรวม 8 กรรม และผู้ต้องหาที่ 2 เบิกความเท็จ 4 กรรม เป็นเหตุให้มูลนิธิฯ ซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริง เสียหาย 207,178,580 บาท (ตามราคาซื้อขายในปัจจุบันราคาไร่ละ 700,000 บาท รวมราคาที่ดินประเมิน 2,450 ล้านบาท) มูลนิธิฯ จึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับกองปราบฯ เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสอง เหตุเกิดที่ จ.จันทบุรี ระหว่างวันที่ 3 พ.ค. 2550 - 13 ก.ย. 2562 ต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยผู้ต้องหาทั้งสองไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างฝากขัง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจกองปราบปราม เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายบุญช่วย ฐานยักยอกที่ดิน ในพื้นที่ตำบลพลวง ตำบลตะเคียนทอง อำเภอเขาคิชฌกูฏ และบางส่วนในอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ของมูลนิธิฯ ไปเป็นของตนเอง โดยมีการสวมสิทธิการครอบครองและนำไปออกโฉนดโดยมิชอบ ทำให้ น.ส.เขมจิรา บัณฑูรนิพิท และ พล.ต.ต.ธารินทร์ จันทราทิพย์ ทายาทรุ่นหลานของเจ้าของที่ดินเดิม ฟ้องร้องเป็นคดีความหลายคดี เหตุการณ์ลุกลามบานปลายจนเป็นมูลเหตุทำให้ พล.ต.ต.ธารินทร์ ตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิงทนายความเสียชีวิตภายในศาลจังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2562


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"