พท.ชม‘บิ๊กตู่’คือความหวัง


เพิ่มเพื่อน    

 

"ธนาธร" ยืนยันเป็น กมธ.งบประมาณ อ้างเพราะบริบทของปีที่แล้วถูกตัดสิทธิ์ จึงขอลาออก "สมเจตน์" มึน ถามก้าวไกลหานักการเมืองดีๆ มาทำงานการเมืองไม่ได้แล้ว ต้องไปขุดเอาคนที่มีมลทิน ถูกตัดสิทธิ์มาทำงาน มาแปลก! ส.ส.เชียงรายพรรคเพื่อไทยชม "บิ๊กตู่" ไม่ขาดปาก กล้าขอโทษในสภาแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ ถือเป็นความหวังของประเทศ ซูเปอร์โพลเผยผลสำรวจ ประชาชนพร้อมทำบุญสวดมนต์ให้กำลังใจบิ๊กตู่

    เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีมีรายชื่อเป็นกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2564 ว่า ยืนยันว่าการเข้าไปเป็นกรรมาธิการงบประมาณ จะทำงานให้เต็มที่สมกับที่ได้รับการแต่งตั้งจากสภาเข้าไปตรวจสอบการใช้งบประมาณของฝ่ายบริหาร เสนอแนะแนวทางการใช้งบประมาณให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้ดีที่สุด เพื่อตรวจสอบการทำงานและเสนอแนะการใช้งบประมาณให้มีประโยชน์สูงสุด
    ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้ที่เคยลาออกจากการทำหน้าที่เป็นกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 และตัดพ้อตอนนั้นว่าพวกเขาไม่อยากให้ทำงานในสภา ประธานคณะก้าวหน้าอ้างว่าเป็นบริบทของปีที่แล้วระหว่างการทำหน้าที่ มีการตัดสิทธิ์ตน จึงลาออกจากกรรมาธิการตอนนั้น
     เมื่อถามถึงกรณีที่มีการโจมตีว่าถูกตัดสิทธิ์การเมือง แต่ยังทำงานการเมืองท้องถิ่นและเป็นกรรมาธิการงบฯ นายธนาธรกล่าวว่า เวลาเราพูดถึงตัดสิทธิ์ทางการเมือง กรรมการบริหารพรรคเราถูกตัดสิทธิ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าสิทธิความเป็นพลเมืองของเราจะถูกตัดออกไป ดังนั้นการเป็นกรรมาธิการงบประมาณและการทำงานการเมืองท้องถิ่นเป็นสิทธิ  ไม่มีกฎหมายข้อใดห้าม
    พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวถึงกรณีพรรคก้าวไกลเสนอชื่อนายธนาธรว่า การเมืองไทยสิ้นไร้นักการเมืองดีๆ แล้วหรือ ไม่น่าเชื่อว่าพรรคก้าวไกลที่ชอบอ้างว่าเป็นพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ มีแนวความคิดใหม่ๆ แต่ไร้ซึ่งจริยธรรม ไม่มีความละอาย ไปเสนอชื่อคนที่มีมลทินทางการเมือง เข้ามาทำงานการเมือง ทำเสมือนการเมืองไทยสิ้นไร้ไม้ตอก
         "หานักการเมืองดีๆ มาทำงานการเมืองไม่ได้แล้ว ต้องไปขุดเอาคนที่มีมลทิน ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองมาทำงานการเมือง ไม่ละอายทั้งคนที่เสนอชื่อ และคนที่ถูกเสนอ แล้วเช่นนี้จะมาสร้างการเมืองใหม่ได้อย่างไร" สมาชิกวุฒิสภาผู้นี้กล่าว
    นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจง น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่อภิปรายว่านายกรัฐมนตรีมองคนเห็นต่างเป็นศัตรู และมีบางช่วงบางตอนที่นายกฯ ระบุว่า “ขอให้ระวังตัว” จนทำให้ ส.ส.พรรคก้าวไกลออกมาระบุเป็นการข่มขู่นั้นว่า เจตนาของนายกฯ ที่พูดไปแบบนั้น นายกฯ ก็ได้ชี้แจงไปแล้วว่าคือต้องระวังตัวที่จะทำผิดกฎหมายเอง ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ประชาชนคนไทยทุกคนจะต้องระมัดระวังตัวไม่ให้ทำผิดกฎหมายอยู่แล้วไม่ใช่หรือ
การเมืองเก่าไม่สร้างสรรค์  
    นายสุภรณ์กล่าวว่า ส.ส.พรรคก้าวไกลย่อมรู้ดีในเจตนาคำพูดของนายกฯ อยู่แล้ว แต่ทำเป็นแกล้งไม่เข้าใจ เพราะอาจอยากจะทำลายบรรยากาศการประชุมสภาที่มีการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 64 ที่เป็นไปได้ด้วยดี หรืออาจรวมถึงบรรยากาศของบ้านเมืองในขณะนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่คนไทยทั้งประเทศมีความร่วมมือกับรัฐบาลฝ่าฟันวิกฤติโควิด-19 ตามแนวทาง"รวมใจ สร้างชาติ" พร้อมกันนี้มั่นใจว่านายกฯ ไม่ติดใจกับคำพูดต่างๆ ของ ส.ส.พรรคก้าวไกล เพราะขณะนี้นายกฯ และรัฐบาลมุ่งเน้นแต่จะเอาเวลามาทำงานแก้ไขปัญหาเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติให้ดีที่สุด ไม่มีเวลามาเล่นการเมืองหรือโต้ตอบทางการเมืองกับใครทั้งสิ้น
    “พรรคก้าวไกลได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพรรคการเมืองที่มี ส.ส.มาจากคนรุ่นใหม่ไฟแรง เป็นพรรคการเมืองน้องใหม่ แต่กลับยังเล่นการเมืองแบบเก่า ที่ไม่สร้างสรรค์ มุ่งเน้นโจมตีฝ่ายตรงข้าม ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ นอกจากจะไม่ก้าวไกลแล้ว ตนมองว่าเป็นการเดินถอยหลังมากกว่า เพราะยังเป็นการเมืองแบบเก่า ใช้วาทกรรม เสียดสี ถากถาง เหน็บแนม สไตล์การเมืองน้ำเน่าไม่มีการพัฒนาขึ้นเลยสักนิด เสียดายที่ประกาศเป็นพรรคการเมืองคนรุ่นใหม่ แต่กลับทำตัวยิ่งกว่าการเมืองยุคเก่าๆ" นายสุภรณ์กล่าว
    นายสุภรณ์กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลาการทำงานของนายกฯและรัฐบาล ได้รับฟังข้อเสนอแนะจากทุกฝ่ายทุกพรรคการเมือง และเรียกร้องหาความร่วมมือในการทำงานเพื่อประชาชนเพื่อประเทศชาติ เห็นได้จากการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 64 ที่รัฐบาลเน้นการวางรากฐานในการพัฒนาและแก้ปัญหาทุกด้านให้ประชาชนทุกกลุ่ม มุ่งเน้นการส่งเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ มีการกระจายผลประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรงทั่วถึงเป็นธรรม จึงขอให้เชื่อมั่นว่าทุกโครงการที่ใช้จ่ายงบประมาณ เป้าหมายเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนสูงสุดอย่างแท้จริง
    น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี กล่าวถึงการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ว่าในส่วนของ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐมีการทำหน้าที่นำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชน เป็นตัวแทนสะท้อนเสียงของประชาชน เพราะเราตระหนักดีว่าเราเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลที่มีจำนวน ส.ส.กว่า 119 คน และขอขอบคุณประชาชนที่ส่งเสียงคำแนะนำคำติชมมายังพรรคพลังประชารัฐ และมั่นใจว่า ส.ส.พรรคพลังประชารัฐจะทำหน้าที่ใน กมธ.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 64 โดยศึกษาและเสนอข้อมูลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแน่นอน
อภิปรายอย่างสร้างสรรค์
    เธอกล่าวว่า การอภิปรายในครั้งนี้ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐได้อภิปรายอย่างสร้างสรรค์ รอบด้าน และสมกับที่ทำการบ้านกันมาอย่างหนัก และได้อภิปรายงบประมาณเพิ่มเติมประเด็นจากการลงพื้นที่ฟังข้อทุกข์ร้อนของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องการศึกษาตั้งแต่ปฐมวัยถึงอุดมศึกษา การเกษตรทั้งกสิกรรมและปศุสัตว์ การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย การท่องเที่ยว การปรับปรุงและเพิ่มเติมโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัย การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ผู้ประกอบการรายย่อย และประชาชนในตลาดแรงงาน การสร้างชุมชนท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็ง การจัดการและการทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการบูรณาการกับหน่วยงานของรัฐ จนไปถึงการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับบริบทโลกเพื่อเป้าหมายแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นแนวทางการสร้างให้ประชาชนอยู่ดีกินดีอย่างยั่งยืนในระยะยาว สอดคล้องครอบคลุมกับการดำเนินภารกิจเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของรัฐบาลให้ประสบผลสำเร็จและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยมุ่งเน้นการลดความเหลื่อมล้ำ การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น
    “ขั้นตอนต่อไปคือการตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2564 จำนวน 72 คน โดยพรรคพลังประชารัฐจะมีตัวแทนจำนวน 13 คน เพื่อรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นจากประชาชน โดย ส.ส.ทั้งหมดของพรรคพลังประชารัฐจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการร่วมพิจารณาเพื่อให้งบประมาณประจำปี 2564 มีการจัดสรรงบอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากการจัดสรรงบประมาณปี 64 อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม”
    น.ส.ทิพานันกล่าวว่า หลังจากนี้ในส่วนของ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในสภาอย่างเรียบร้อยลุล่วงแล้ว ส.ส. พรรคพลังประชารัฐจะทำการลงพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อดำเนินตามนโยบายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ให้ ส.ส.ทุกคนร่วมมือกัน รับฟังปัญหาทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชน มานำเสนอกับทางพรรค เพื่อท่านจะได้ทราบและเดินหน้าทำนโบายเพื่อประชาชนอย่างตรงจุด และเพื่อช่วยเหลือความทุกข์ร้อนที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าและแก้ปัญหาในระยะสั้นโดยเฉพาะผลกระทบจากวิกฤติการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อย่างเข้าถึงและทั่วถึงต่อไป
    นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานีพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการวิสามันพิจารณาร่าง พ.ร.บ.รายจ่ายประจำปี 2564 ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมร่าง พ.ร.บ.งบประมาณว่า งบปีนี้ไม่แตกต่างจากงบปี 2563 ที่ได้รับการจัดทำโดยระบบราชการซึ่งไปผูกมัดกับยุทธศาสตร์ชาติตามรัฐธรรมนูญ ทำให้ยากต่อการตอบสนองความต้องการของประชาชนโดยรวม และร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ก็จัดทำก่อนการแพร่ระบาดของโควิด ไม่ได้แก้ไขให้เข้ากับสถานการณ์ เพราะฉะนั้นในฐานะกรรมาธิการ ก็จะไปดูรายละเอียด ตรงไหนสามารถแก้ไขให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้
ส.ส.เพื่อไทยชม"บิ๊กตู่"
    เขากล่าวว่า คณะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยจะเสนอต่อคณะกรรมาธิการ เช่นงบกลางที่มีอยู่ถึงกว่า 4 หมื่นล้าน ก็ควรไปอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้เขานำมาแก้ปัญหาโรคระบาดได้ตรงจุด งบกระทรวงกลาโหมก็เช่นเดียวกันที่มีสูงเกินความจำเป็น บางโครงการผูกพันงบประมาณถึง 6 ปี โดยไม่ตอบสนองต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเลย นอกจากนี้ยังไม่มีงบประมาณของอีกหลายหน่วยงานที่ต้องแก้ไขและปรับลด ซึ่งในการพิจารณาวาระ 1 ส.ส.ฝ่ายค้านก็แสดงความคิดเห็นมามาก จะนำไปสะท้อนในชั้นกรรมาธิการให้ครบถ้วน หวังว่าในคณะกรรมาธิการจะรับฟังเสียงของประชาชน
     นายสมคิดยังกล่าวว่า บางประโยคนายกฯ ไม่พูดออกมาก็ได้ เพราะสร้างความไม่สบายใจให้แก่ผู้รับฟัง เช่น “ระวังตัวกันบ้างก็แล้วกัน” คำพูดเช่นนี้จะเป็นความเข้าใจผิดให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน พอนายกฯ สั่งให้ระวังตัวก็แล้วกัน เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานจะไปจับจ้องกลุ่มคนที่คิดต่างจากรัฐบาล ซึ่งนายกฯ ควรระมัดระวังคำพูดให้มากกว่านี้ เพราะไม่มีใครสามารถเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของนายกฯ ได้ และประชาชนจะไม่สบายใจต่อคำพูดที่หลุดจากปากนายกฯ  
    ด้านนายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ตอนแรกที่นายกฯ พูดเป็นการพูดด้วยอารมณ์จากก้นบึ้ง แต่พอได้สตินึกขึ้นได้ก็ออกมาขอโทษ ซึ่งการขอโทษของนายกฯ ไม่ใช่การขอโทษ ส.ส. แต่เป็นการขอโทษคนทั้งประเทศที่รับฟังการอภิปราย ถือเป็นเรื่องดีที่กล้าขอโทษแสดงความเป็นสุภาพบุรุษออกมา จากเดิมท่านและพี่น้องกลุ่ม 3 ป. เป็นทหารมาตลอด เคยชินแต่กับการออกคำสั่ง แต่เมื่อรู้ตัวไม่อยู่ในระบบเผด็จการก็ต้องเคารพกติกา ถือเป็นชีวิตวิถีใหม่ของนายกฯ ที่ปรับตัวเข้ากับระบบประชาธิปไตย
    "การยอมรับกติกาเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ผู้นำยอมรับฟังมากยิ่งขึ้น เป็นความหวังของประเทศ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องแก้ปัญหาโควิด พล.อ.ประยุทธ์จะล้อมรอบไปด้วยแพทย์ ที่กลัวการแพร่ระบาดมากกว่าเรื่องปากท้อง ไม่ค่อยได้รับฟังมุมมองของ ส.ส. ที่เป็นตัวแทนประชาชน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลก็ไม่กล้าพูด มาในสภา ส.ส.ฝ่ายค้านได้สะท้อนข้อเท็จจริงที่ได้รับจากประชาชนมา หาก พล.อ.ประยุทธ์รับฟังโดยไม่มีอคติ ก็เป็นความหวังว่าจะแก้ปัญหาปากท้องให้ดีขึ้นได้ ปัญหาเศรษฐกิจอาจจะไม่ถึงกับดีขึ้นทันตา แต่ก็พอมีความหวังให้ประคับประคองประเทศออกจากไอซียูได้ ซึ่งเรื่องนี้เมื่อผมพูดไป ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลก็มาให้กำลังใจ เพราะเขาต่างรู้ดีว่าไม่มีใครกล้าพูดกับนายกฯ เหมือน ส.ส.ฝ่ายค้าน" ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย
    ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ทำบุญสวดมนต์ให้กำลังใจบิ๊กตู่ กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินการเก็บข้อมูลแบบผสมผสาน (Mixed Method) ทั้งการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ การลงพื้นที่และการเก็บข้อมูลในโลกโซเชียล ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,332 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่  1-4 ก.ค.ที่ผ่านมา
สวดมนต์ให้กำลังใจบิ๊กตู่
    เมื่อถามถึงเหตุปัจจัยของวิกฤติเศรษฐกิจประเทศและเงินในกระเป๋าของประชาชนที่ไม่พอใช้ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.4 ระบุโรคโควิด-19 เกิดทั่วโลก ในขณะที่ร้อยละ 17.6 ระบุปัจจัยอื่นๆ เช่น นักการเมืองมัวแต่ทะเลาะกัน การแก้ปัญหาของรัฐบาลและประชาชนทำตัวเอง เป็นต้น
    อย่างไรก็ตาม ผลประเมินภาพรวมการแก้ปัญหาผลกระทบของโควิด-19 โดยรัฐบาล พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 54.5 ระบุรัฐบาลแก้ปัญหาได้ดีค่อนข้างมากถึงดีเยี่ยม ในขณะที่ร้อยละ 45.5 ระบุค่อนข้างน้อยถึงไม่ดีเลย
    ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.1 ตั้งใจจะทำบุญสวดมนต์ให้กำลังใจบิ๊กตู่ในวันอาสาฬหบูชานี้ให้สามารถแก้ปัญหาวิกฤตต่างๆ ของประเทศผ่านพ้นไปได้อย่างดี ในขณะที่ร้อยละ 42.9 ระบุไม่ทำ อย่างไรก็ตาม เสียงของประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.9 ระบุนายกรัฐมนตรีควรรักษาคนดีไว้ข้างกายทำงานต่อเนื่อง ในขณะที่ร้อยละ 26.1 ระบุปล่อยให้มันเป็นไป
    ที่น่าพิจารณาคือ เสียงของประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.9 เห็นด้วยถึงเห็นด้วยอย่างยิ่งที่นายกรัฐมนตรีควรใช้โอกาสนี้ขจัดนักการเมืองที่จ่ายเงินซื้อเสียงเข้ามาหมดเนื้อหมดตัวไปเลย อย่าให้โอกาสพวกเขาถอนทุนคืน
    ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวว่า ข้อมูลกระแสเสียงของประชาชนกำลังเริ่มดีขึ้นต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลโดยรวมเมื่อประชาชนเห็นชัดเจนว่า ความสามารถของ 3 ป. ผู้ทรงอิทธิพลในการจัดการความวุ่นวายภายในพรรคพลังประชารัฐได้ลงตัว และแยกส่วนการปรับ ครม.เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี ที่มีโควตาของนายกรัฐมนตรีในทีมรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจและกระทรวงหลักสำคัญ “ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า” สมบัติชาติที่ภาคประชาสังคมต้องช่วยกันเฝ้ารักษาอย่าให้ใครเข้ามากอบโกยเอาไปได้
    ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวต่อว่า ในห้วงเวลานี้ นายกรัฐมนตรีต้องอาศัยพลังบุญและคุณธรรมอย่างแรงของทุกฝ่ายทั้งประเทศช่วยกัน “ทำบุญสวดมนต์ให้กำลังใจบิ๊กตู่” ผู้นำของประเทศให้สามารถแก้วิกฤติเศรษฐกิจและความวุ่นวายทางการเมืองทุกมิติได้สำเร็จ เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายในการทำงาน “การเมืองใหม่” ที่ต้องผ่านการเล่นเกมที่แยบยลแนบเนียน เหมือนจะยอมแต่ไม่ยอมไปกับ “ภาวะตัณหา” ความอยากมี อยากเป็น และอยากเปลี่ยนให้ทันใจของทุกฝ่ายเพื่อตนเองและพวกพ้องของพวกเขา แต่ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับพลังหนุนของภาคประชาชนว่า ประชาชนทั้งประเทศมองเห็นเหมือนกับที่นายกรัฐมนตรีเห็นหรือไม่.

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"