หุ้นติด...ไวรัส


เพิ่มเพื่อน    

        ตั้งแต่เทรดวันแรกเมื่อ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา สำหรับหุ้นถุงมือยาง บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT ราคาก็พุ่งกระฉุดสูงกว่าราคาไอพีโอ 34.00 บาท เท่าตัว และตอนนี้ก็เกินกว่า 100% จึงทำให้เกิดคำถามว่า ทำไม?!? แค่ถุงมือยางมันจะฮอตอะไรขนาดนั้น!!!

        พอลองไปหาข้อมูลในธุรกิจแบบเดียวกันจากเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่างมาเลเซีย ก็พบการวิเคราะห์ที่น่าสนใจว่า Market Cap ของเขาก็เติบโตอย่างก้าวกระโดดเหมือนกัน  ไม่ว่าจะเป็นหุ้นถุงมือยางรายใหญ่ของโลกอย่าง Hartalega Holdings และ Top Glove ก็มี Market Cap สูงเป็นอันดับที่ 6 และ 8 ของตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย (KLSE) แซงหน้าธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารขนาดใหญ่อันดับ 3 ของมาเลเซีย  และเบียดหุ้นสถานีบริการน้ำมันแห่งชาติอย่างปิโตรนาสตกอันดับไปเหมือนกัน

        คำตอบมีประเด็นเดียวเท่านั้นคือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ช่วยส่งผลในด้านบวกสำหรับธุรกิจนี้แบบเหลือเชื่อ 

        ปัจจุบันผู้ผลิตถุงมือยางแบบใช้แล้วทิ้ง (Disposable Gloves) 5 อันดับแรกของโลก (ในแง่รายได้) อยู่ในเอเชียทั้งหมด ซึ่ง STGT เองก็เป็นหนึ่งในนั้น ส่วนผู้ผลิตที่เหลืออีก 4 ราย อยู่ในประเทศมาเลเซีย และจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นมาเลเซีย (KLSE) ทั้งหมด หากเรียงลำดับจากรายได้ในปี 2019 มากที่สุดไปน้อยสุด โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยน 7.5 บาท : 1 ริงกิตมาเลเซีย จะเป็นดังนี้ 1.Top Glove (ชื่อย่อ : TOPGLOV) รายได้ 34,812 ล้านบาท 2.Hartalega Holdings  (ชื่อย่อ : HARTA) รายได้ 20,502 ล้านบาท 3.Kossan Rubber Industries (ชื่อย่อ : KOSSAN) รายได้ 16,106 ล้านบาท 4.ศรีตรังโกลฟส์ (ชื่อย่อ : STGT) รายได้ 11,994 ล้านบาท และ 5.Supermax Corporation (ชื่อย่อ : SUPERMX)   รายได้ 10,797 ล้านบาท

        สิ่งน่าแปลกใจก็คือ แม้ถุงมือยางจะดูเป็นสินค้าที่ผู้ผลิตรายใหม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้ง่าย แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา(2009-2019) ผู้ผลิต 5 อันดับแรกของโลกกลับรักษาการเติบโตไว้ได้อย่างดี แม้บางรายจะมีรายได้ลดลงบ้างหลังโรคระบาดจบลง อย่างเช่น เมอร์ส ในปี 2012 และอีโบลา ในปี 2014 ก็ไม่ได้ทำให้รายได้ลดลงมากอย่างที่คิดกันไว้

        หากอ้างอิงจากงานวิจัยของ Reportlinker หัวข้อ Disposable Gloves Market - Global Outlook and Forecast 2020-2025 ที่ตีพิมพ์ไปเมื่อ พ.ค.2020 มีการระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ตลาดโลกของถุงมือยางใช้แล้วทิ้งในปี 2020-2025 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้น (CAGR) สูงถึง 14% โดยศึกษาจากผู้ผลิตระดับโลกที่ได้กล่าวถึงไว้ข้างต้น ปัจจัยที่ทำให้เติบโตในระยะสั้น ก็คือการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในหลายประเทศ ทำให้ความต้องการถุงมือยางยังสูงต่อเนื่อง เช่น ในประเทศอังกฤษ จีน สหรัฐ อินเดีย อิหร่าน และอิตาลี

        วิสัชนาของราคาหุ้น STGT จุดติดพุ่งเป็นจรวด สรุปก็คือการแพร่ระบาดของไวรัสในปี 2020 นี่เอง  

        อย่างไรก็ตาม แม้โควิด-19 จะไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป  และหลายประเทศกำลังได้รับชัยชนะในการต่อสู้กับไวรัส แต่คงไม่ลืมว่าในอนาคตอันใกล้ การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุ การที่ชีวิตนิวนอร์มอลจะให้ความสำคัญกับมาตรฐานการป้องกันเชื้อโรคมากขึ้น การขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขทั้งจากการลงทุนของเอกชนและภาครัฐ และการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ก็เป็นปัจจัยส่งเสริมให้ธุรกิจถุงมือยางเจิดจรัสด้วยตัวของมันเองแน่นอน.

                                                                              "ปิยสาร์"

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"