แน่นอนว่าประเทศไทยขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนที่เชี่ยวชาญในด้านการทำเกษตรกรรม มีพืชพรรณนานาชนิดสำหรับการบริโภค แต่ในขณะเดียวกันแม้จะมีความเลื่องชื่อและเชี่ยวชาญในเรื่องการเพาะปลูก รวมถึงมีเกษตรกรเป็นจำนวนมาก แต่ในเรื่องการประยุกต์เป็นสินค้าเพื่อสร้างมูลค่าในการค้าขาย และเพื่อการส่งออกนั้น ยังจำเป็นต้องพัฒนาอยู่อีกมาก ทำให้ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าเกษตรกรรมในประเทศไทยยังเสียโอกาสในเรื่องของสินค้าที่มีความสร้างสรรค์และมีมูลค่าสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายๆ ภาคส่วนจำเป็นต้องผลักดันร่วมกัน เพื่อให้สัดส่วนทรัพยากรที่มีอยู่สร้างความได้เปรียบมากขึ้น

                สำหรับในช่วงที่ผ่านมามีผู้ประกอบการหลายรายพยายามพัฒนา จนประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์พืชผลทางการเกษตรให้เป็นสินค้าที่มีมูลค่า โดยหนึ่งในแบรนด์ที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีคือ “กรีนเดย์” ธุรกิจที่นำเทคโนโลยีการอบแบบแช่แข็ง และใช้การทอดสุญญากาศที่ทันสมัยนำมาใช้ในการแปรรูปผักผลไม้เป็นขนมอบกรอบเพื่อสุขภาพ ที่วางจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกไปกว่า 30 ประเทศทั่วโลก

                เจ้าของแบรนด์ก็คือ ชัยรัตน์ คงศุภมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรีนเดย์ โกลบอล จำกัด เป็นนักธุรกิจที่ได้มีโอกาสมาถ่ายทอดทริกในการสร้างสรรค์สินค้าเกษตรให้มีมูลค่า ในหลักสูตร “The Guru ปันความรู้สู่ภูมิภาค” ของสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หากเกษตรกรหรือผู้ประกอบธุรกิจคนไหนอยากพัฒนาสินค้าให้มีมูลค่า ต้องไม่พลาดทริกดีๆ เหล่านี้

                อย่างแรกเลยคือการตั้งชื่อ หลายคนตั้งคำถามว่าทำไมต้องเป็นกรีนเดย์ ก็ต้องบอกว่าจากการที่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่อยากเห็นสินค้าไทยที่ผลิต ได้กระจายออกไปทั่วโลก จึงอยากใช้ชื่อเป็นภาษอังกฤษ แต่ออกเสียงคล้ายๆ คำว่า “กินดี” จึงเป็นที่มาของชื่อแบรนด์ “กรีนเดย์” จะเห็นได้ว่า การตั้งชื่อสินค้ามีความสำคัญมาก เพราะจะต้องตั้งชื่อให้สามารถสื่อสารและเข้าใจในตัวสินค้าด้วย

                ต่อมาจะต้องมองตลาดให้ขาด วางกลยุทธ์ให้เฉียบ แน่นอนว่าตอนเริ่มต้นธุรกิจบุกตลาดต่างประเทศช่วงแรก ไม่ได้สวยหรูอย่างที่วางไว้ แต่เจออุปสรรคเรื่องคู่แข่งที่คาดไม่ถึงจากเวียดนาม ซึ่งผลิตสินค้าได้คล้ายกัน แต่ราคาถูกกว่า จึงตัดสินใจเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ มาสู้กันด้วยเรื่องของกลุ่มเป้าหมาย มองสินค้าใหม่และพุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้ารักสุขภาพที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งเทรนด์สุขภาพกำลังมาแรงทั้งในยุโรปและเอเชีย เพราะคนที่รักสุขภาพจริงๆ กล้าที่จะยอมจ่ายเพื่อซื้อสินค้าดีๆ

                ขณะเดียวกันด้านเกษตรพันธสัญญา นับว่าเป็นเคล็ดลับการจัดการวัตถุดิบ สินค้าเกษตรเป็นวัตถุดิบต้นน้ำในการผลิต การบริหารจัดการจึงต้องแม่นยำ หากบริหารจัดการไม่ดี สินค้าสต๊อกไว้มากก็เป็นภาระต้นทุน หากสินค้าไม่เพียงพอก็ไม่สามารถผลิตป้อนตามคำสั่งซื้อได้ จึงต้องวางแผนการจัดการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ปัญหาวัตถุดิบไม่เพียงพอต่อการผลิตจึงเป็นโจทย์ที่ต้องตีให้แตก ซึ่งเครื่องมือหนึ่งที่ต้องเรียนรู้คือ เกษตรพันธสัญญา ระบบการเกษตร การเลี้ยงสัตว์ หรือการเพาะปลูกพืช ที่มีการทำสัญญาซื้อขายผลผลิตล่วงหน้าระหว่างฝ่ายเกษตรกรหรือเจ้าของฟาร์มกับคู่สัญญา ซึ่งมักเป็นบริษัทเอกชนที่สัญญาว่าจะซื้อผลผลิตจากอีกฝ่ายในราคาที่ตกลงกันตั้งแต่ต้น ซึ่งเรียกว่าราคาประกัน ผู้ประกอบการจึงจะได้รับผลผลิตที่ตรงตามความต้องการได้อย่างแท้จริง

                อีกข้อที่สำคัญไม่แพ้กันคือ กลยุทธ์เจาะตลาดตรงเป้าทั้งในและต่างประเทศ ปัญหาใหญ่ที่สุดของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในช่วงเริ่มต้นธุรกิจใหม่ๆ คือช่องทางจัดจำหน่าย โดยช่วงเริ่มต้นแบรนด์กรีนเดย์ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาดมากนัก การที่จะนำสินค้าเข้าไปวางในโมเดิร์นเทรด จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่แนะนำให้ออกบูธเพื่อจะได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนกับคู่ค้าอื่นๆ แต่หากคิดจะเจาะตลาดต่างประเทศ แต่ต้นทุนต่ำ แนะนำให้ใช้บริการ 1169 ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อขอข้อมูลลูกค้าในต่างประเทศ เพื่อนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง

                ในยุคที่การค้าโลกมีการเปลี่ยนแปลงขั้นรุนแรง มีความไม่มั่นคงในธุรกิจสูงมาก ความอยู่รอดของผู้ประกอบการในปัจจุบันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเฉพาะขนาดของธุรกิจและทรัพยากรที่มี แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวให้เท่าทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมากกว่า การนำเรื่องราวจากผู้ประกอบการมาเล่าสู่กันฟัง ก็จะทำให้หน้าใหม่ที่อยากเข้าวงการ หรือผู้ที่อยากประสบความสำเร็จ นำวิธีการไปปรับใช้ได้ทางหนึ่ง.

 

รุ่งนภา สารพิน