สับคสช.เศรษฐกิจติดหล่ม ยํ้า'จีดีพี'ตํ่าสุดในอาเซียน


เพิ่มเพื่อน    

    เรียงหน้าสับ คสช.บริหารเศรษฐกิจติดหล่ม "สมศักดิ์" รับลูก "มาร์ค" สวดยับจะตายกันหมดแล้ว ซัดรัฐบาลเลิกเพ้อตัวเลข ต้องดูความจริงเงินในกระเป๋าชาวบ้าน "พิชัย" กางข้อมูลยุคบิ๊กตู่ รั้งท้ายตกต่ำสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ด้านพาณิชย์เผย GSP ไทยยังอยู่
    เมื่อวันจันทร์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช.ว่า อยากให้ประเมินการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมาทุกอย่างแล้วดูความคุ้มค่า เพราะข้อสังเกตที่ได้มาตลอดสามสี่ปีที่ผ่านมาคือ หลายโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างที่ตั้งใจ แต่จำกัดอยู่กับคนบางกลุ่มมากกว่าจะทำให้คนทั่วไปมีรายได้ที่ดีขึ้น โดยเมื่อเทียบงบประมาณที่ลงไปกับความคุ้มค่าที่ได้รับ มีผลที่ได้น้อยเมื่อเทียบกับเงินที่ลงไป จึงอยากให้ปรับวิธีคิดว่าทำอย่างไรจะให้ประชาชนมีรายได้ดีขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งจะยั่งยืนและเป็นผลดีต่อภาวะการคลังด้วย 
    ขณะที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า การที่นายอภิสิทธิ์ ออกมาระบุถึงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจล้มเหลว ถือว่าเป็นแง่มุมหนึ่งของอดีตนายกฯ ที่เคยบริหารประเทศ จึงอาจมองเปรียบเทียบกับสมัยที่ตัวเองเป็นนายกฯ จึงทำให้มองว่าประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ออกมานั้นไม่เหมาะกับยอดเม็ดเงินงบประมาณ ซึ่งคำตอบของเรื่องนี้คนที่จะตอบได้ดีคือประชาชน นักธุรกิจ ผู้ใช้แรงงาน
      นายสมศักดิ์กล่าวต่อว่า รัฐบาลควรที่จะต้องรับฟังไว้ ตนเองเชื่อว่ารัฐบาลมีเครื่องมือเพียงพอในการที่จะไปประเมินผลของตัวเองได้ และถ้าจะให้ดีที่สุดครบ 4 ปีแล้วควรจะมีการแถลงใหญ่สักครั้งหนึ่งว่า 4  ปีที่ผ่านมาซึ่งเท่ากับวาระของการทำงานของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้เห็นว่าการทำงานโดยไม่มีฝ่ายค้านไม่มีการตรวจสอบ หรือทำงานโดยที่ไม่สามารถตรวจสอบได้นั้น ผลที่ออกมาเป็นอย่างไร
     "สิ่งที่ประชาชนคาดหวังทุกวันนี้คือเรื่องปากท้อง เพราะเป็นปัญหาหนักอกของผู้คนที่พูดถึงมากที่สุดคือปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจ ตอนนี้ปัญหาของคนรากหญ้า ปัญหาของคนที่อยู่ในชนบทมันสวนทางกับการเติบโตทางเศรษฐกิจจริงๆ จะมัวไปดูตัวเลขว่าขึ้น 3.6 หรือ 4.6 อย่างเดียวไม่ได้ คุณล้วงไปในกระเป๋าของผู้คนว่าในกระเป๋าของพวกเขามีตังค์หรือไม่ ดัชนีการครองชีพเป็นอย่างไร ควรมองดูสิ่งที่เป็นความจริงมากกว่าตัวเลข ขณะนี้ผู้ค้ารายย่อยร้านของชำ แม่ค้าที่ขายตามตลาดนัดชาวบ้านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า วันนี้กำลังซื้อของคนมีน้อยทำให้การค้าระดับล่างซบเซา เงินไม่สะพัดเท่าที่ควร" นายสมศักดิ์กล่าว
    ขณะที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า ตามที่ธนาคารโลกและธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) บอกว่าแม้ว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะขยายตัวได้ประมาณ 4% ซึ่งรัฐบาลโดยนายสมคิด รองนายกฯ พยายามจะบอกว่าดีสุดๆ นั้น ความเป็นจริงคือธนาคารโลกและเอดีบีบอกชัดเจนว่า  การเจริญเติบโตที่ 4% นี้ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยที่ธนาคารโลกและเอดีบีทำนายการเจริญของโลก ซึ่งเป็นตัวเลขการเจริญเติบโตที่แย่ที่สุดในภูมิภาค และเป็นตัวเลขการเจริญเติบโตที่แย่ที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาทั้งหมดในเอเชียตะวันออก ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำสุดในการคาดประมาณการเจริญเติบโต  
    "โดยต่ำกว่าเวียดนาม (6.9%) มาเลเซีย (5.9%) กัมพูชา (7%) และลาว (7.3%) และที่ต้องเน้น เรื่องที่แย่ที่สุดคือ ทั้งธนาคารโลกและเอดีบีไม่เห็นโอกาสที่เศรษฐกิจของไทย ภายใต้การนำของรัฐบาลปัจจุบันจะสามารถทำให้ดีขึ้นได้ นอกจากจะยิ่งตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนทุกประเทศ ซึ่งเป็นไปตามที่ผมได้พูดอยู่เสมอ แต่รัฐบาลหาว่าให้ข้อมูลที่บิดเบือน แล้วอย่างนี้ธนาคารโลกและเอดีบีให้ข้อมูลที่บิดเบือนหรือไม่ วิกฤติกบต้มที่เศรษฐกิจไทยจะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านยังเป็นอยู่ และเป็นแบบนี้มาตลอดหลายปีแล้วตั้งแต่มีการรัฐประหาร จึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ฟังความจริงจากองค์กรสากลระหว่างประเทศ และอย่าเชื่อนายสมคิดทั้งหมด" นายพิชัยระบุ 
     นายพิชัยกล่าวต่อว่า อยากให้นายสมคิดได้ฟังและอยากให้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวด้วย อย่าให้ข้อมูลเกินจริง ซึ่งอาจจะทำให้ประชาชนและสื่อมวลชนสับสนได้ และไม่อยากให้นักการเมืองชื่นชมรัฐบาล และ คสช.เพียงเพราะรัฐบาลและ คสช.ช่วยพัฒนาซ่อมแซมถนนในพื้นที่ให้เท่านั้น ในขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศยังย่ำแย่ และหากเลื่อนเลือกตั้งออกไปอีกเรื่อยๆ จะยิ่งไม่สามารถแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้
     วันเดียวกัน นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงผลการประชุมกรอบความตกลงการค้าและการลงทุนไทย-สหรัฐอเมริกา (TIFA) ว่า ไทยได้ขอให้สหรัฐฯ ยกเว้นการใช้มาตรการ  232 และไม่ขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากไทย โดยได้ให้เหตุผลว่าไทยกับสหรัฐฯ เป็นประเทศพันธมิตรที่ดีต่อกันมายาวนาน และไทยส่งออกและครองส่วนแบ่งตลาดเหล็กและอะลูมิเนียมในสหรัฐฯ  น้อย มีมาตรการกำกับดูแลไม่ให้เหล็กจากประเทศอื่นมาอ้างสิทธิ์ว่าเป็นเหล็กจากไทย ตลอดจนมีการใช้มาตรการทุ่มตลาดกับเหล็กนำเข้าราคาต่ำทะลักเข้าไทย และพร้อมร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการแก้ไขปัญหาเหล็กส่วนเกินในตลาดโลก
     นางนันทวัลย์กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ไทยยังได้ขอให้สหรัฐฯ เร่งกระบวนการตรวจสอบด้านสุขอนามัยสินค้าส้มโอของไทย เพื่อให้สามารถส่งออกส้มโอไปสหรัฐฯ ได้ ซึ่งสหรัฐฯ แจ้งว่ากระบวนการต่างๆ ใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว และหากไม่มีผู้คัดค้านไทยน่าจะสามารถส่งออกส้มโอไปสหรัฐฯ ได้ภายในปีนี้ และได้หารือเรื่องที่จะให้กระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ รับรองให้หน่วยงานไทย เช่น กรมการข้าวและกรมวิชาการเกษตรของไทย เป็นหน่วยงานที่สามารถตรวจและออกเครื่องหมายรับรองเกษตรอินทรีย์ของสหรัฐฯ กับสินค้าเกษตรอินทรีย์ไทยได้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ไทยไปตลาดโลก โดยเฉพาะในตลาดที่ให้การยอมรับตราเครื่องหมายรับรองเกษตรอินทรีย์ของสหรัฐฯ
    นางนันทวัลย์กล่าวว่า ในการหารือครั้งนี้สหรัฐฯ ได้แจ้งว่าเมื่อวันที่ 12 เม.ย.61 สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ได้ประกาศรายชื่อประเทศที่ต้องถูกทบทวนการต่ออายุสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร  (GSP) เพราะไม่ได้เปิดตลาดและคุ้มครองสิทธิแรงงาน และไทยไม่ได้อยู่ในรายชื่อดังกล่าว เพราะไทยมีแผนปฏิบัติการด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การคุ้มครองแรงงานที่มีความคืบหน้าไปมาก ทั้งในส่วนของการปราบปรามและการบังคับใช้กฎหมาย และการพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้อง
     เธอระบุว่า สำหรับประเทศที่อยู่ในรายการทบทวนและอาจเสี่ยงถูกตัด GSP จากสหรัฐฯ มี 3  ประเทศ คือ อินเดีย กรณีเปิดตลาดโคนมและอุปกรณ์ทางการแพทย์ อินโดนีเซีย กรณีเปิดตลาดสินค้า บริการและการลงทุน และคาซัคสถาน กรณีการคุ้มครองแรงงานและสิทธิแรงงาน
    "นอกจากนี้เมื่อวันที่ 14 เม.ย.61 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ประกาศรายชื่อประเทศที่มีการบิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยนเงินที่อาจส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ ซึ่งจะต้องเฝ้าระวังและมีการหารืออย่างใกล้ชิด  มี 6 ประเทศ คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งไทยไม่ได้อยู่ในรายชื่อดังกล่าวเช่นกัน" นางนันทวัลย์ระบุ 
    ปลัดกระทรวงพาณิชย์ระบุกรณีที่สหรัฐฯ เรียกร้องให้ไทยยอมรับค่าความปลอดภัยของสารเร่งเนื้อแดง (แรคโตพามีน) ในเนื้อหมูและเครื่องในตามมาตรฐาน Codex ว่า ไทยได้ชี้แจงให้เห็นว่าจะต้องมีการศึกษาและมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะหารือร่วมกันต่อไปในเรื่องการศึกษาและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับระดับความปลอดภัยของการใช้สารแรคโตพามีน การประเมินความเสี่ยงต่อผู้บริโภค และการจัดการด้านความปลอดภัยผู้บริโภค เป็นต้น.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"