เสี่ยเบนซ์ชี้จบแล้ว อุทธรณ์รอลงโทษ


เพิ่มเพื่อน    


    เผยศาลอุทธรณ์พิพากษาคดี "เสี่ยเบนซ์" ชน "รองตี๋" แล้ว ยืนรอลงอาญาเพราะจำเลยสำนึกและบรรเทาผลร้าย เจ้าตัวบอกไม่อยากให้รื้อฟื้น เพราะกระทบจิตใจเด็ก วอนอย่าโยงกับคดีบอส
    เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 เม.ย.2563 ศาลอาญาตลิ่งชันได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดี "เสี่ยเบนซ์" ชน "รองตี๋" เสร็จสิ้นแล้ว คดีหมายเลขดำ อ.1839/2562 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาธนบุรี 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ เป็นจำเลย ในความผิดฐานขับรถด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และขับรถในขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัส และทรัพย์สินเสียหายฯ
     กรณีเมื่อวันที่ 11 เม.ย.2562 เวลาประมาณ 23.30 น. พนักงานสอบสวน สน.ศาลาแดง ได้รับแจ้งว่า มีเหตุรถยนต์ชนกันที่ ถ.ทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก แขวง-เขตทวีวัฒนา เมื่อได้ออกตรวจที่เกิดเหตุ พบรถยนต์เบนซ์ ทะเบียน บฮ 789 กทม. แต่ขณะนั้นไม่พบตัวคนขับ เนื่องจากเจ้าหน้าที่มูลนิธิได้นำตัวส่งโรงพยาบาลธนบุรี 2 เพราะได้รับบาดเจ็บ ส่วนที่เกิดเหตุพบ พ.ต.ท.จตุพร งามสุชวิชชากุล รอง ผกก.สอบสวน กก.2 บก.ป. เสียชีวิตอยู่ในรถยนต์ ยี่ห้อซูซูกิ สวิฟท์ ทะเบียน 2 กก 3653 และทราบจากเจ้าหน้าที่มูลนิธิว่ายังมีนางนงนาฏ งามสุวิชชากุล ภรรยา และบุตรสาวอายุ 12 ปี ซึ่งนั่งโดยสารมาด้วย ได้รับบาดเจ็บ นำตัวส่งโรงพยาบาล ต่อมานางนงนาฏได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลราชพิพัฒน์
    ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนทราบว่า นายสมชายได้ขับรถเบนซ์วิ่งมาจาก ถ.พุทธมณฑลสาย 3 จะไปทาง ถ.พุทธมณฑลสาย 2 เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุบริเวณ ถ.ทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก ขับรถล้ำเข้าไปในช่องเดินรถของ พ.ต.ท.จตุพร ที่วิ่งมาจาก ถ.พุทธมณฑลสาย 2 กำลังมุ่งหน้าไป ถ.พุทธมณฑลสาย 3 จึงได้พุ่งชนกันอย่างแรง เป็นเหตุให้รถยนต์ทั้ง 2 คันได้รับความเสียหาย พ.ต.ท.จตุพรเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ จากการสอบสวนทราบว่าคืนเกิดเหตุ นายสมชายดื่มเบียร์มาจากสนามไดรฟ์กอล์ฟ แขวง-เขตทวีวัฒนา กระทั่งเวลาประมาณ 23.30 น. ได้ขับรถเบนซ์คันเกิดเหตุออกมาตาม ถ.ทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก จนชนกับรถของผู้ตาย และเมื่อทำการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ พบระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 260 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ 
    โดยนายสมชายให้การรับสารภาพทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของศาล ได้รับการประกันตัวด้วยวงเงิน 200,000 บาท และยินยอมที่จะเยียวยาชดใช้ค่าเสียหาย 45 ล้านบาทให้กับครอบครัวของนายตำรวจผู้เสียชีวิต ซึ่งปัจจุบันคงเหลือเพียงบุตรสาวคนโตและบุตรสาวคนเล็ก
    คดีนี้ศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดตลิ่งชันเดิม) พิพากษาวันที่ 31 ก.ค.2562 ให้จำคุกจำเลย 6 ปี และปรับ 200,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 ปี พร้อมปรับ 100,000 บาท รวมทั้งมีคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ของจำเลย และสั่งห้ามจำเลยดื่มสุรา-เบียร์ หรือเครื่องดื่มมึนเมาทุกชนิดด้วย อย่างไรก็ตาม ศาลพิเคราะห์ตามรายงานสืบเสาะประวัติจำเลยแล้ว โทษจำคุกจำเลยให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี และให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 8 ครั้ง ภายใน 2 ปี กับทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ มีกำหนด 48 ชั่วโมง ภายเวลา 1 ปี ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด
    ต่อมาอัยการโจทก์อุทธรณ์ ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลย
    ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า แม้เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะจำเลยเมาสุราขณะขับรถ โดยมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 260 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ มีข้อเท็จจริงปรากฏตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของจำเลย ซึ่งจำเลยไม่ค้านว่าจำเลยนั่งดื่มเบียร์ตั้งแต่เวลา 19.00-23.00 น. และตามฟ้องว่าจำเลยขับรถด้วยความเร็วเกินกว่า 80 กม. ในขณะเกิดเหตุโดยจำเลยเมาสุราแล้ว จำเลยขับรถล้ำช่องของตน เป็นเหตุให้ชนกับรถของผู้ตาย ทำให้มีผู้ถึงแก่ความตายถึง 2 คน และได้รับอันตรายสาหัส 1 คน การกระทำของจำเลยนับว่าเป็นอันตรายแก่ผู้ร่วมใช้ถนน พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงดังที่โจทก์อุทธรณ์ก็ตาม 
    แต่หลังเกิดเหตุ จำเลยมิได้หลบหนี และยังนำบุตรสาวของผู้ตายทั้งสองไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชน เสียค่ารักษาไปประมาณ 1.5 ล้านบาท จำเลยไปร่วมงานศพของผู้ตายทั้งสองและร่วมทำบุญในการปลงศพ 3 แสนบาท ชดใช้เงินค่าขาดไร้อุปการะให้แก่มารดาของผู้ตายที่ 1 จำนวน 2 ล้านบาท และมารดาของผู้ตายที่ 2 จำนวน 1.9 ล้านบาท ชำระหนี้สินของผู้ตายที่ 1 เป็นเงิน 2 ล้านบาท ซื้อรถยนต์ใหม่ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ ราคา 1.5 ล้านบาท ทดแทนรถคันเดิมที่ประสบอุบัติเหตุ มอบทุนการศึกษาให้แก่บุตรของผู้ตายทั้งสองคนละ 15 ล้านบาท บุตรทั้งสองของผู้ตาย ผู้ปกครองล้วนแถลงไม่ติดใจเอาความแก่จำเลย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยรู้สำนึกในการกระทำความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งการกระทำของตน
    เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน มีอาชีพการงานเป็นหลักแหล่ง และมีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัว การรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยน่าจะเป็นประโยชน์แก่สังคมโดยรวมยิ่งกว่าการลงโทษจำคุกจำเลย เป็นการให้โอกาสจำเลยในการกลับตัวเป็นพลเมืองดี อุปการะดูแลบุตรของผู้ตายทั้งสอง และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ดังที่จำเลยแก้อุทธรณ์มา ที่โจทก์อ้างคดีอื่นในศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยในคดีนั้น มีข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ เนื่องจากคดีอื่นที่อ้างยังไม่มีการบรรเทาผลร้ายในการกระทำของจำเลยจนเป็นที่พอใจแก่ฝ่ายผู้ตายดังเช่นคดีนี้ ที่ศาลชั้นต้นรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยมานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
    ด้านนายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ กล่าวว่า ตอนที่ไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น ตนไม่บอกใครเลย นอกจากเพื่อนสนิทไม่กี่คนเท่านั้น และไปในช่วงที่มีโควิด-19 ระบาดใหม่ๆ จากนั้นก็ไม่ได้ให้ข่าวกับใคร เพราะคิดว่าเรื่องนี้มันจะจบแล้ว ทั้งนี้ตนไม่อยากให้มีการรื้อฟื้นเรื่องนี้มาอีก เพราะว่าตอนนี้สภาพจิตใจของเด็กและคนอื่นกำลังดีขึ้น ตนติดต่อกับลูกสาวผู้เสียชีวิตโดยตลอด คุยไลน์และโทร.หาพาไปกินข้าว ส่งขนมที่เด็กชอบทานให้เป็นประจำ พอมีข่าวแบบนี้ออกมาเหมือนเป็นการไปรื้อฟื้นเรื่องคดี ทำให้เด็กคิดถึงพ่อแม่ ตนกลัวว่าสภาพจิตใจจะแย่ลง ตนไม่เข้าใจว่าข่าวนี้ออกมาได้อย่างไร น่าจะเป็นกรณีของนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส จึงขอวอนอย่าให้ทุกคนเอาเรื่องของตนไปโยงกันเลย เพราะว่ามันคนละคดีกัน. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"