เร่งคดี5พระเถระ 'บิ๊กตู่'ขู่อย่าป่วน


เพิ่มเพื่อน    

   “ประยุทธ์” ฮึ่ม! เตือนวงการผ้าเหลืองอย่าเคลื่อนไหว ลั่นเรื่องทุจริตต้องปล่อยตามกฎหมาย “ป.ป.ช.” รับลูกทันควัน ประกาศเร่งรัดคดี ตั้งทีมไต่สวน พร้อมสอบพระเถระชั้นผู้ใหญ่หากมีมูล  “หลวงปู่พุทธะอิสระ” แฉบิ๊ก มส.รับ 3 เด้ง แค่เงินเดือนเกือบ 4.5 หมื่น บ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ  แนะ “พงศ์พร” ตรวจค่าใช้จ่าย หมอมโนซัดอีก ชี้มหาเถรฯ ใช้ศูนย์ตรวจสอบพระภิกษุจัดระเบียบพวกเห็นต่าง
เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ยังคงมีความต่อเนื่องจากกรณี พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เข้าแจ้งความต่อกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) ให้ดำเนินคดีทุจริตเงินทอนวัดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) จำนวน 3 แห่ง 4 สำนวน ที่มีพระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูปเกี่ยวข้อง โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการทำงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงคือ พศ. โดยดำเนินการตามหลักฐานต่างๆ ที่ปรากฏ แต่ทั้งนี้ต้องนำข้อมูลส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อทำการตรวจสอบต่อไป ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
    “ที่เป็นห่วงคือ พระสงฆ์กลุ่มต่างๆ ที่ต้องขอให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย เพราะจะทำให้ความชัดเจนเกิดขึ้น อีกทั้งการออกมาเคลื่อนไหวนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลย เนื่องจากพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่คนไทย 90% นับถือ จึงต้องช่วยกัน และผมขอยืนยันว่าจะดำเนินการไปตามหลักฐาน ทั้งวัตถุพยานและพยานบุคคลที่ปรากฏเช่นเดียวกับความผิดกรณีอื่น” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ
    ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฉบับใหม่ ระบุว่า ป.ป.ช.มีอำนาจในการตรวจสอบบุคคลทั้ง รัฐ พระ และเอกชน ที่เข้าข่ายเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำการทุจริต ซึ่งหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเป็นตัวการหลักในการทุจริต และมีบุคคลใดเกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ก็เข้าข่ายที่ ป.ป.ช.จะมีอำนาจในการตรวจสอบได้ โดยกรณีข้อกล่าวหาทุจริตเงินทอนวัด ที่มีพระชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วยนั้น ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของสำนักไต่สวนภาครัฐ 1 ซึ่งได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งรัดการตรวจสอบแล้ว หากมีข้อมูลเพียงพอ สามารถตั้งอนุกรรมการไต่สวนได้ 
“ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะซักถามรายละเอียด กรณีข้อกล่าวหาดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบ โดยจะกำชับกับเลขาธิการ ป.ป.ช.ให้เร่งรัดดำเนินการ เนื่องจากเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน และเกี่ยวข้องกับพระชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งเลขาธิการ ป.ป.ช.มีอำนาจในพิจารณาว่า ข้อมูลที่ยื่นมาเพียงพอต่อการไต่สวนหรือไม่ โดยหากยังไม่สมบูรณ์ สามารถสั่งให้ไปแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมได้” พล.ต.อ.วัชรพลกล่าว
“ป.ป.ช.”พร้อมบี้พระ
นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวในเรื่องนี้ว่า ก่อนหน้านี้ ปปป.ส่งสำนวนทุจริตเงินทอนวัดมายัง ป.ป.ช.แล้ว 34 เรื่อง ได้มีการแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนไปแล้ว 11 เรื่อง อยู่ระหว่างการแสวงหาข้อเท็จจริงอีก 23 เรื่อง ส่วนเรื่องใหม่นี้เพิ่งส่งเข้ามาสดๆ ร้อนๆ มาถึง ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ซึ่งในช่วงเช้าวันที่ 17 เม.ย. เจ้าหน้าที่ได้ตรวจเบื้องต้นดูแล้วพบว่า เป็นเรื่องที่ ปปป.รับเรื่องกรณีที่มีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ และเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจ ป.ป.ช. จึงส่งเรื่องมาให้ ป.ป.ช.ภายใน 30 วันตามกฎหมายระบุ เข้าใจว่าครบกำหนดแล้วจึงต้องรีบส่งมาพร้อมหลักฐานในเบื้องต้น
    เลขาฯ ป.ป.ช.กล่าวว่า เจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช.ได้รายงานให้ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทราบว่า เบื้องต้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับ 3-4 วัดดังใน กทม. ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้ ตนเองในฐานะเลขาธิการ ป.ป.ช. จึงมอบหมายให้สำนักไต่สวนภาครัฐ 1 (สตร.1) เข้าไปตรวจสอบ โดยตั้งเป็นคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริง ถือเป็นขั้นตอนแรกของการทำงานคือ การตรวจรับคำกล่าวหา และถ้าอยู่ในอำนาจ ป.ป.ช. จะดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริง และถ้าดูพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนดำเนินการมาว่ามีมูลจะตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนต่อไป จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทางตำรวจยังรวบรวมพยานหลักฐานไม่ได้มากนัก เพราะมีเวลาแค่ 30 วันก่อนที่จะส่งให้ ป.ป.ช. แต่ได้ให้นโยบายเจ้าหน้าที่ไปแล้วว่าให้เร่งรัดเรื่องนี้
    ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าเป็นพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคม (มส.) ถือว่าอยู่ในอำนาจ ป.ป.ช.ใช่หรือไม่ นายวรวิทย์กล่าวว่า พระไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามคำนิยามใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฉบับปัจจุบัน แต่ถ้าแสวงหาข้อเท็จจริงแล้วพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะเป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ถือว่าอยู่ในอำนาจ ป.ป.ช.ทั้งหมด ส่วนเรื่องนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจรับเรื่องของ ป.ป.ช. และให้คณะทำงานไปแสวงหาข้อเท็จจริงก่อนว่ามีมูลพอที่จะรับไว้ดำเนินการไต่สวนหรือไม่
"หลวงปู่"ซัด"บิ๊ก มส." 
    ด้านพระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือหลวงปู่พุทธะอิสระ  เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ได้โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อธรรมะ วันละคำ ระบุว่า พฤติกรรมกรรมการ มส.บางรูปพัวพันคดีทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาของคณะสงฆ์และเยาวชน ทำให้นึกถึงพุทธธรรมคำสอนขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ประโยคหนึ่งว่า คนสะอาด ย่อมไม่ยินดีในความชั่วทั้งปวง ซึ่งคำว่าความชั่วทั้งปวง หมายความว่า ชั่วทางกาย อันได้แก่ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามคุณ ชั่วทางวาจา อันได้แก่ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบ ชั่วทางใจ ได้แก่ โลภ อยากได้ของเขา พยาบาทปองร้ายเขา และเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม 
    หลวงปู่พุทธะอิสระโพสต์ต่อว่า พฤติกรรมของกรรมการ มส.บางรูป หากพิเคราะห์ด้วยหลักการคนสะอาด ย่อมไม่ยินดีในความชั่วทั้งปวง นี่แสดงว่าพวกเขายังไม่สะอาด ไม่สะอาดทางกายคือ ลักทรัพย์ ไม่สะอาดทางวาจาคือ พูดโกหก ไม่สะอาดทางใจ คือ โลภ อยากได้ของเขา เป็นถึงกรรมการ มส. เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ล้วนแต่เป็นยศตำแหน่งที่มีเงินเดือนกินกันทุกเดือน ทุกคน ในคนคนเดียวกัน นอกจากเป็นเจ้าอาวาสได้เงินเดือน 3,800 บาท ยังเป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ได้เงินเดือนเดือนละ 17,100 บาท แถมยังเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม ยังได้เงินเดือนอีก 23,900 บาท รวมแล้วคนคนเดียวกินเงิน 3 เด้ง ตกเดือนละ 44,800 บาท
    “บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ไปไหนมีตำแหน่งยิ่งใหญ่ครอบไว้บนหัว มีแต่คนประจบเอาใจพะเน้าพะนอถวายนู่น นี่ นั่น สารพัด รายได้จริงๆ ได้มากกว่าเงินเดือนทั้งหมดรวมกันเสียอีก ยิ่งเป็นระดับรองสมเด็จ รับกิจนิมนต์แต่ละครั้งเจ้าภาพถวายครั้งละ 5,000 ถึงหมื่นขึ้นทั้งนั้น หากไม่มีรายจ่ายเลี้ยงดูใครๆ เงินทองเหลือกินเหลือใช้ คุณพงศ์พรคงต้องตามไปตรวจสอบดูกันหน่อยว่า แกเอาเงินไปจ่ายให้ใครบ้าง จ่ายเพื่ออะไร ทำไมถึงได้หิวเงินกันนัก มันอดอยากถึงกับต้องมาฉ้อโกงเงินอุดหนุนการศึกษาของคณะสงฆ์ทีเดียวหรือ นี่แค่หนังตัวอย่างเท่านั้น เรื่องจริงมันน้ำเน่า ยาวกว่านี้อีกพี่น้อง” หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าว
    นพ.มโน เมตตานันโท เลาหวณิช เลขาธิการพรรคประชาชนปฏิรูป กล่าวว่า ปัจจุบันการสอบธรรมศึกษาแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทยที่มีทั้งหมด 9 ขั้นนั้น เกือบทั้งสังฆมณฑลในประเทศ พบว่ามีการทุจริตข้อสอบเกือบทั้งสิ้น จากเหตุการณ์ที่เคยประสบ คือที่วัดพระธรรมกาย โดยพระสงฆ์ที่ทำหน้าที่คุมสอบ จะบอกข้อสอบแก่บรรดาพระสงฆ์ที่เข้าสอบ ทั้งห้องอย่างโจ่งแจ้ง ส่งผลให้พระที่บวช ณ วัดพระธรรมกาย ได้รับเปรียญธรรมกันเยอะมาก อีกเหตุผลหนึ่งคือ การที่วัดพระธรรมกายต้องการสร้างสถิติ มีพระที่ผ่านเปรียญธรรมมากที่สุดในประเทศ ขณะที่มาตรฐานด้านการศึกษานั้น เรียกได้ว่าน่าอนาถใจ เนื่องจากหลักสูตรที่สอนเป็นลักษณะท่องจำเท่านั้น โดยไม่ได้มีการสอนวิชาอื่นอาทิ สังคม หรือประวัติศาสตร์ เพิ่มเติม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องภาษาอังกฤษ หากพระที่ไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อนนั้นไม่สามารถใช้ได้เลย ขณะที่หลักสูตรการสอนภาษาบาลี และตำราที่ใช้ท่องจำนั้นก็ไม่ได้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับประเทศอื่นๆ อาทิ พม่า หรือศรีลังกา จึงส่งผลให้เกิดเครื่องหมายคำถาม ตามมาแก่บุคลากรในวงการสงฆ์ แสดงให้เห็นว่า ที่ผ่านมา พระส่วนใหญ่ที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ต่างมาจากระบบอุปถัมภ์ที่ฝังตัวมาอย่างยาวนานทั้งสิ้น
    นพ.มโนกล่าวต่อว่า ขณะที่การทำหนังสือเดินทางพระสงฆ์นั้น เป็นอีกหนึ่งวิธีการในการควบคุมพระรูปอื่นที่เห็นต่างจาก มส.ผ่านศูนย์ตรวจสอบพระภิกษุ (ศ.ต.ภ.) โดยการกำกับดูแลของพระชั้นผู้ใหญ่อีกขั้นหนึ่ง โดยพระที่จะยื่นขอทำพาสปอร์ตได้นั้น ต้องมีลายมือชื่อของเจ้าอาวาสวัดในสังกัด เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค ก่อนส่งไปยัง ศ.ต.ภ.เพื่อพิจารณาอนุมัติอีกทอดหนึ่ง ก่อนออกเอกสารให้ยื่นทำหนังสือเดินทางยังหน่วยงานราชการได้ต่อไป 
“หากพระสงฆ์รูปไหนออกตัวว่ามีปัญหาความขัดแย้งกับ มส. ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะผ่านการอนุมัติจาก ศ.ต.ภ. ส่งผลให้ออกหนังสือเดินทางไม่ได้ ซึ่งวิธีดังกล่าวเป็นหนึ่งในแนวทาง ที่วงการสงฆ์ใช้เพื่อควบคุมอำนาจและต่อรองกับผู้เห็นต่าง นอกจากนี้ยังพบว่า การจัดทัวร์แสวงบุญที่ประเทศอินเดียนั้น มีเพียงไม่กี่บริษัทที่จะได้รับเหมาการจัดทัวร์ ซึ่งเป็นลักษณะของการฮั้วกันอีกด้วย”.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"