อย่าเพิ่งเผาพยาน! อัยการลากไส้ตร.‘วิชา’นัดคุย3ส.ค.‘บวรศักดิ์’หวั่นหลักฐานหาย


เพิ่มเพื่อน    

 

"วิชา" เรียกประชุมคณะกรรมการสอบคดี "บอส กระทิงแดง" นัดแรก 3 ส.ค. จ่อเชิญบุคคลเกี่ยวข้องแจง ขณะที่อัยการทิ้งบอมบ์ใส่ตำรวจ ยันการสั่งคดีของพนักงานอัยการเป็นไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวนเป็นผู้มีอำนาจสอบสวน แฉไม่มีผลตรวจสารเสพติด "บอส" ในสำนวน กมธ.แฉตำรวจไร้ใบรับรองแพทย์ยันบอสใช้โคเคนรักษาฟัน "บวรศักดิ์" วอนอย่าเพิ่งเผาศพ "จารุชาติ" หวั่นหลักฐานถูกทำลาย

    เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญานายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ทายาทธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง ขับรถยนต์ชนตำรวจเสียชีวิต เปิดเผยว่า จะเริ่มประชุมคณะกรรมการฯ นัดแรกในวันที่ 3 ส.ค.นี้ เพื่อรับฟังความคิดเห็นคณะกรรมการฯ แต่ละคนก่อน เพื่อสอบถามถึงประเด็นข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับคำสั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าว จะมีการเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูลในประเด็นต่างๆ ให้ครบถ้วนที่สุดตามอำนาจหน้าที่ในคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีให้ไว้ ส่วนการจะเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูลนั้น ยังไม่รู้จะเชิญใครมาให้ข้อมูลบ้าง จะต้องรอฟังกรรมการคนอื่นก่อน
         เมื่อถามว่า การที่นายจารุชาติ มาดทอง หนึ่งในพยานปากสำคัญที่สร้างจุดเปลี่ยนคดีดังกล่าว ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต จะกระทบกับการทำงานของคณะกรรมการตรวจสอบฯหรือไม่ นายวิชากล่าวว่า ไม่เกี่ยว เพราะเราตรวจสอบในส่วนที่เขาเคยให้ถ้อยคำไว้
         น.ส.ณัฐวสา ฉัตรไพฑูรย์ อัยการพิเศษฝ่ายสถาบันกฎหมายอาญา ได้ให้ความเห็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับเกณฑ์การพิจารณาสั่งคดีอาญาของพนักงานอัยการ ในคดีทายาทเครื่องดื่มชูกำลังขับรถชนตำรวจเสียชีวิต มีข้อความว่า
        1.เกณฑ์มาตรฐานที่พนักงานอัยการใช้ในการพิจารณาสั่งคดีคือคดีมีพยานหลักฐานพอฟ้องหรือไม่ คำว่า “พยานหลักฐานพอฟ้อง” ไม่ใช่เรื่องความเชื่อหรือความรู้สึก แต่เป็นการตรวจดูจากในสำนวนการสอบสวนว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะนำไปพิสูจน์ให้ศาลลงโทษจำเลย (ผู้ต้องหา) ตามข้อกล่าวหานั้นหรือไม่
        2.คดีนี้ไม่มีประจักษ์พยานในทางยืนยันการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหลักฐานสำคัญที่พนักงานสอบสวนใช้ในการดำเนินคดีอาญากับผู้ต้องหา ได้แก่ ภาพเคลื่อนไหวช่วงก่อนเกิดเหตุที่บันทึกจากกล้องวงจรปิดประกอบกับคำให้การของเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของตำรวจที่คำนวณอัตราความเร็วของรถคันเกิดเหตุระยะครูดของรถจักรยานยนต์บนถนน และสภาพรถคันเกิดเหตุทั้งสองคัน ซึ่งเดิมเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของตำรวจที่คำนวณอัตราความเร็วของรถคันเกิดเหตุให้การว่าคำนวณอัตราความเร็วของรถยนต์คันเกิดเหตุได้ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่ดังกล่าวให้การว่าตามที่คำนวณไว้เดิมเป็นการคำนวณผิดที่ถูกต้อง คืออัตราความเร็วของรถยนต์คันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุอยู่ที่ 79 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และปรากฏว่าจากการสอบสวนเพิ่มเติมอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์และการพิสูจน์เหตุจากคณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าฯ ยืนยันว่าจากการคำนวณตามหลักวิชาการ โดยได้พิจารณาทั้งในเรื่องภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกจากกล้องวงจรปิด ระยะครูดของรถจักรยานยนต์บนถนน และสภาพรถคันเกิดเหตุทั้งสองคันอัตราความเร็วของรถยนต์คันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุอยู่ที่ 79 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและสำนวนคดีไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาหักล้างการคำนวณของผู้เชี่ยวชาญทั้งสองรายดังกล่าว พนักงานอัยการจึงย่อมต้องรับฟังข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานตามคำยืนยันของผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวสำนวนคดีจึงไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันว่าผู้ต้องหาขับรถด้วยความเร็วสูงในขณะเกิดเหตุ
คนหนึ่งมียศพลอากาศโท
        3.ส่วนประจักษ์พยานสองคนซึ่งมาให้การในชั้นสอบสวนเพิ่มเติมโดยคณะกรรมาธิการของ สนช. ร้องขอให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมนั้น นอกจากมีการสอบถามข้อเท็จจริงโดยคณะกรรมาธิการ สนช. อันเป็นการกลั่นกรองมาในระดับหนึ่ง และมีการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนซึ่งพยานทั้งสองคนมีตัวตนและที่อยู่เป็นหลักแหล่ง คนหนึ่งมียศพลอากาศโท ที่สำคัญคือพยานทั้งสองคนย่อมต้องรับผิดชอบตามกฎหมายอันมีโทษทางอาญา หากให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวน ดังนั้นเมื่อคดีไม่มีพยานบุคคลอื่นใดที่รู้เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุมาให้การเป็นอย่างอื่น และไม่มีพยานหลักฐานที่กล่าวอ้างหรือโต้แย้งว่าพยานทั้งสองคนดังกล่าวให้การเท็จ จึงย่อมไม่มีเหตุผลที่พนักงานอัยการจะอนุมานเอาเองได้ว่าพยานทั้งสองคนดังกล่าวให้การเท็จหาก แต่พนักงานอัยการก็ย่อมต้องรับฟังเป็นพยานหลักฐานประกอบกันกับพยานหลักฐานอื่นๆ ในสำนวนคดี และเมื่อพยานทั้งสองคนดังกล่าวต่างให้การว่าตนขับรถตามหลังรถยนต์ที่ผู้ต้องหาขับในช่วงเกิดเหตุในความเร็วระดับเดียวกันไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเห็นรถจักรยานยนต์ของผู้ตายขับตัดจากเลนที่หนึ่งจากซ้ายมือมาตัดหน้ารถยนต์ของผู้ต้องหาในเลนที่สามจากซ้ายมือในระยะกระชั้นชิดโดยไม่มีพยานหลักฐานในสำนวนหักล้างหรือโต้แย้งเป็นอย่างอื่นอีกทั้งยังสอดคล้องกับจุดชนที่อยู่เลนที่สามจากซ้ายมือและสอดคล้องกับคำให้การยืนยันของผู้เชี่ยวชาญทั้งสองรายดังกล่าว คดีจึงไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟ้องพิสูจน์ให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตายตามข้อกล่าวหาได้ การสั่งไม่ฟ้องเพราะเหตุพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงชอบด้วยเหตุผลและเกณฑ์การสั่งคดีอาญาแล้ว
        4.แม้ว่าตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 74 วรรคสอง บัญญัติว่า ในกรณีที่ผู้ขับขี่หรือผู้ขี่หรือควบคุมสัตว์หลบหนีไปหรือไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สถานที่เกิดเหตุให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำความผิดก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้น ซึ่งจะต้องประกอบกับพยานหลักฐานอื่นโดยหากอาศัยลำพังข้อสันนิษฐานดังกล่าวเพียงอย่างเดียว แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้อ้างเป็นเหตุในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นเหตุให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นตายนั้นได้ และเมื่อพยานหลักฐานอื่นในสำนวนการสอบสวนมีไม่เพียงพอที่จะฟ้องลำพังข้อสันนิษฐานดังกล่าวไม่ทำให้คดีมีพยานหลักฐานพอฟ้องในความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นตาย
        5.ส่วนประเด็นที่ปรากฏตามข่าวว่ามีหนังสือของมหาวิทยาลัยมหิดลแจ้งพนักงานสอบสวนว่าตรวจพบสารเสพติดในร่างกายของผู้ต้องหานั้น ไม่ปรากฏเอกสารหลักฐานดังกล่าวในสำนวนการสอบสวนแต่อย่างใด และไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาฐานเสพยาเสพติดแต่อย่างใดด้วย
แจ้งข้อหาสารเสพติด
        6.อนึ่ง การสั่งคดีของพนักงานอัยการเป็นไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวนซึ่งพนักงานสอบสวนเป็นผู้มีอำนาจสอบสวน และทำการสอบสวนโดยที่พนักงานอัยการไม่มีอำนาจสอบสวนตามกฎหมายและไม่อาจนำเอาข้อเท็จจริงจากสื่อสารมวลชน หรือจากแหล่งข้อเท็จจริงอื่นใดที่อยู่นอกสำนวนการสอบสวนมาใช้ในการสั่งคดีได้ และแม้พนักงานอัยการมีอำนาจสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติม ก็ต้องเป็นเวลาภายหลังจากที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว และส่งเป็นสำนวนการสอบสวนมายังพนักงานอัยการ อีกทั้งการสั่งสอบสวนเพิ่มเติมในทางปฏิบัติย่อมต้องอยู่ในกรอบของข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นปรากฏในสำนวนการสอบสวนหรือจากประเด็นตามการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาในคดี พนักงานอัยการไม่มีอำนาจไปแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานใดๆ ได้เอง
        7.อย่างไรก็ดี แม้พนักงานอัยการได้มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องก็ไม่ตัดสิทธิของผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องต่อศาลเอง นอกจากนี้ในกรณีที่ปรากฏพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้ก็อาจมีการซื้อฟื้นคดีโดยพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนพยานหลักฐานใหม่เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหานั้นใหม่ได้ตามกฎหมาย
    ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง การทำคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ทายาทเครื่องดื่มกระทิงแดง ขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เปิดเผยว่า การประชุมวันนี้จะลงลึกในรายละเอียดมากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายของตำรวจที่ทำการสอบสวนในขณะนั้น อีกทั้งต้องมีการเรียกแพทย์และพยานมาให้ปากคำอีกหลายปาก โดยเฉพาะในประเด็นพบสารโคเคนในเลือดของนายวรยุทธ ซึ่งจะต้องสอบเพิ่มเติม เพราะเมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา ยังไม่ได้มีการเชิญแพทย์มาสอบปากคำ แต่เป็นการแถลงข้อเท็จจริงตามคำให้การและบันทึกการตรวจร่างกายในสำนวนเก่า ทั้งนี้ หากมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนและคดียังไม่หมดอายุความ ก็สามารถแจ้งข้อหาการเสพสารเสพติดเพิ่มเติมได้
         พล.ต.อ.ศตวรรษกล่าวถึงกรณีที่พนักงานสอบสวนไม่แจ้งข้อหาตั้งแต่ตรวจพบโคเคนว่า การแจ้งข้อหาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนในการดำเนินการแต่ต้องพิจารณาว่าการใช้ดุลพินิจนั้นถูกต้องหรือไม่ ซึ่งกรณีนี้ ป.ป.ช.ก็ได้มีคำสั่งไปแล้ว ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ยังต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นอื่นเพิ่มเติมอีก และจะพยายามให้สร็จสิ้นภายในระยะเวลา 15 วันตามกรอบที่ ผบ.ตร.กำหนดไว้
         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ผู้เสพยาเสพติดประเภท 2 (โคเคน) ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 3 ปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มีอายุความ 10 ปี
เรียกอัยการให้ข้อมูล
    ขณะที่นายณัฏฐชนน ศรีก่อเกื้อ ส.ส.สงขลา พรรคภูมิใจไทย ในฐานะโฆษกกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีฝ่ายตำรวจระบุ กมธ.เข้าใจคลาดเคลื่อน นายวรยุทธมีสารโคเคนในร่างกาย เนื่องจากการใช้ยารักษาฟันที่มีส่วนผสมโคเคนว่า ในวันที่ กมธ.เรียกตำรวจมาชี้แจงนั้น ได้สอบถามประเด็นที่ไม่มีการแจ้งข้อหานายวรยุทธเรื่องการมีสารโคเคนในร่างกาย ตำรวจชี้แจงว่า การพบสารประกอบโคเคนในร่างกายนายวรยุทธมาได้จาก 2สาเหตุคือ 1.มีการเสพโคเคน เมื่อไปผสมกับแอลกอฮอล์ จึงเกิดสารประกอบโคเคนขึ้นมา 2.มาจากการให้ยาที่มีส่วนผสมโคเคนในการรักษาฟัน
    "แต่ตำรวจไม่มีการแสดงใบรับรองจากแพทย์ที่เป็นคนรักษาว่า แพทย์คนใดเป็นผู้รักษา ให้ยาตัวใด และยาตัวนั้นมีส่วนผสมของโคเคนจริงหรือไม่ มาแสดงต่อ กมธ.ไม่ยอมบอกว่ามีใบรับรองแพทย์ ที่ยืนยันว่ามีการใช้ยาที่มีส่วนผสมโคเคนอยู่ในสำนวนหรือไม่ กมธ.จึงขอให้ตำรวจไปเตรียมเอกสารตัวนี้ไว้ เพราะถึงอย่างไรกมธ.ชุดอื่นๆ ก็ต้องขอดูหลักฐานนี้ว่ามีจริงหรือไม่ จะพิสูจน์ได้ว่า พนักงานสอบสวนมีหลักฐานรับรองจริงๆ หรือเชื่อเพียงแค่คำพูดของแพทย์ โดยไม่มีหลักฐานมายืนยันแล้วนำไปใส่ในสำนวนคดี ถ้าพิสูจน์ว่ามีใบรับรองยืนยันจริงก็จบ"
    ผู้สื่อข่าวถามว่า กมธ.จะเรียกทันตแพทย์ที่เป็นผู้รักษานายวรยุทธมาให้ข้อมูลหรือไม่ นายณัฏฐ์ชนนกล่าวว่า กมธ.ยังไม่ทราบว่าแพทย์คนนั้นคือใคร ต้องรอข้อมูลจากตำรวจก่อน ในการประชุม กมธ. วันที่ 6 ส.ค. เวลา 09.30 น. จะเรียกอัยการมาให้ข้อมูล โดยคิดว่าน่าจะเริ่มเห็นภาพฝ่ายใดหย่อนประสิทธิภาพ หลังจากนั้น กมธ.จะพิจารณาเรียกพยานอื่นๆ เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยที่คำนวณความเร็วรถ แพทย์ ทันตแพทย์ ญาติตำรวจที่เสียชีวิต มาให้ข้อมูล กมธ.ต่อไป.

-

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"