สุดแต่"พระคุณเจ้า"ตัดสินใจ


เพิ่มเพื่อน    

        เรื่อง "พระ-เรื่องเจ้า" พูดแล้วก็เศร้า

        ฉะนั้น วันนี้ ...........

        คุยกันแบบ "ปลงกรรมฐาน" ก็แล้วกันเนอะ!

        ตามพื้นเรื่อง คงทราบแล้ว "พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์" ผอ.สำนักพุทธฯ

        กล่าวโทษ "พระเถระ ๕ รูป" ในจำนวน ๕ นั้น เป็น "กรรมการมหาเถรสมาคม" ถึง ๓ รูป

        โดยยื่นต่อ "กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.)

        ว่าพระเถระทั้ง ๕ นั้น "กระทำความผิดอาญาคดีทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม"

        ทั้ง ๕ ประกอบด้วย

        ๑.พระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) อายุ ๗๗ พรรษา ๕๖ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส "วัดสัมพันธวงศาราม" กทม.

        เป็น "กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.)"

        "มหาเถรสมาคม" คือ "รัฐบาลคณะสงฆ์" มีสมเด็จพระสังฆราช ทำหน้าที่ประหนึ่ง "นายกรัฐมนตรี"

        ส่วน "คณะกรรมการมหาเถรสมาคม" เท่ากับ "คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลสงฆ์

        "พระพรหมเมธี" เป็น "รัฐมนตรีสงฆ์" อยู่ด้วย

        และยังเป็น "เจ้าคณะภาค ๔-๗" วัดในพื้นที่ปกครองประกอบด้วย

        ภาค ๔  นครสวรรค์, กำแพงเพชร, พิจิตร, เพชรบูรณ์

        ภาค ๕  สุโขทัย, พิษณุโลก, อุตรดิตถ์, ตาก

        ภาค ๖  ลำปาง, เชียงราย, พะเยา, แพร่, น่าน

        ภาค ๗  เชียงใหม่, ลำพูน, แม่ฮ่องสอน

        เหล่านี้ อยู่ใต้อำนาจปกครอง "พระพรหมเมธี" ผู้เป็นเจ้าคณะภาค!

        ๒.พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) อายุ ๗๒ พรรษา ๕๐ เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กทม.

        เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) คือเป็น "รัฐมนตรี" ในรัฐบาลสงฆ์ด้วย

        และเป็น "เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร" วัดทั้งหมดในกรุงเทพฯ อยู่ในอำนาจปกครอง "พระพรหมดิลก" นี้!

        ๓.พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) อายุ ๖๒ พรรษา ๔๑  เจ้าอาวาส "วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร" กทม. และเจ้าคณะภาค ๑๐

        เป็นกรรมการ มส. คือ "หนึ่งในคณะรัฐมนตรีรัฐบาลสงฆ์เช่นกัน พื้นที่ภาค ๑๐ ประกอบด้วยวัดใน ๖ จังหวัด คือ

        "อุบลราชธานี, ศรีสะเกษ, นครพนม, ยโสธร, มุกดาหาร, อำนาจเจริญ"

        เฉพาะ ๓ รูปนี้ สมณศักดิ์ชั้นพรหม

        อีกชั้นเดียว ก็จะถึงระดับ "สมเด็จพระราชาคณะ" ชั้นสุพรรณบัฏ

        ผู้ที่พอสนใจความเป็นไปในวงการสงฆ์ เห็นชื่อพระเถระทั้ง ๓ เชื่อว่า "ไม่แปลกหน้า-แปลกหู" มากนัก!

        เพราะ "พรหมทั้ง ๓" ปรากฏเป็นข่าวบ่อย เรื่องธรรมกาย "ธัมมชโย" บ้าง เรื่องเศร้าวงการสงฆ์ในวัดสระเกศบ้าง

        ส่วนอีก ๒ รูป ที่ถูกกล่าวหาด้วย........

        เป็น "พระราชาคณะชั้นราช" คือ "เจ้าคุณ" ชั้นต้น สังกัดวัดสระเกศ

        -"พระราชอุปเสณาภรณ์" (สังคม ญาณวฑฺฒโน) อายุ ๔๖ พรรษา ๒๓ 

        -"พระราชกิจจาภรณ์" (เทอด ญาณวชิโร) อายุ ๔๗ พรรษา ๒๕

        ทั้ง ๒ เป็น "ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ"

        มือซ้าย-มือขวา "พระพรหมสิทธิ" ซึ่งดูแล "พระธรรมทูต" ที่ส่งไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศอีกตำแหน่งหนึ่ง

        ปปป.เมื่อรับเรื่องกล่าวโทษจาก พ.ต.ท.พงศ์พรแล้ว ก็ส่งต่อให้ ป.ป.ช.ทันที

        เท่ากับว่า ตอนนี้ เรื่องอยู่ในขั้นตอนปฏิบัติของ ป.ป.ช.แล้ว!

        ประเด็นที่ผมอยากคุยก็คือ..........

        เรื่องนี้ ผู้ถูกกล่าวโทษเป็นพระ ย่อมต่างจากคดีทั่วไปที่เป็นฆราวาส

        เพราะพระมี "พระธรรมวินัย" เป็นกฎหมายสูงสุดของสงฆ์

        ฉะนั้น เมื่อเกิดอธิกรณ์ขึ้นกับพระ สิ่งต้องคำนึงควบคู่กฎหมายคือ บทบัญญัติตาม "พระธรรมวินัย"

        บางอย่างผิดกฎหมาย แต่ไม่ถือว่าผิดวินัยสงฆ์

        บ่างอย่างผิดวินัยสงฆ์ แต่ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง

        เช่นในทางพระ........

        บางเรื่องผิดพระวินัยเล็กน้อย แต่ทางโลก นับเป็นเรื่องใหญ่เสียหายร้ายแรง มีโทษมาก

        ก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการกฎหมายบ้านเมือง

        เช่น พระตั้งวงดื่มเหล้า กินข้าวเย็น สูบกัญชา อัพยาเสพติด

        ทางพระวินัย ไม่ถึงปาราชิก คือไม่ขาดจากความเป็นพระ

        แต่ทางโลก........

        เป็นเรื่องเสื่อมเสียร้ายแรง ยิ่งเสพยาเสพติดด้วย จะอ้างวินัยพระ ไม่ถึงขั้นปาราชิก ไม่สึก ก็อ้างไป ว่าไม่ปาราชิก

        แต่ทางกฎหมาย ทางสังคม ผิดร้ายแรง ต้องถูกดำเนินคดี

        พ.ร.บ.คณะสงฆ์บอกว่า.........

        เมื่อพระต้องคดี จะนำเข้าคุมขังทั้งพระไม่ได้ ต้องนำไปสึกก่อน จากนั้น ค่อยยัดตะราง

        ก็ต้องเป็นไปตามนี้!

        ทางโลก ทุจริตเงินร้อย-ครึ่งร้อย ความผิดตามกฎหมายจิ๊บจ๊อย แต่ทางพระวินัย หนักมาก

        พระวินัย "ยึดเจตนา" เป็นตัวชี้ขาด.......

        แค่เงิน "บาทเดียว" ถ้าพระมีเจตนาเอาของเขา ก็ปาราชิก ขาดจากความเป็นพระทันที!

        เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ก็มาพิจารณาองค์ประกอบในข้อมูล-ข้อกล่าวโทษพระทั้ง ๕ รูป ก่อน

        นอกจากคำกล่าวโทษ โดยสรุป ว่า.........

        "กระทำความผิดอาญาคดีทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม" แล้ว

        เราทุกคน ยังไม่ทราบ "รายละเอียด" อันเป็นองค์ประกอบนำไปสู่ข้อกล่าวหาเลย

        มีแต่ พศ., ปปป. และ ป.ป.ช.เท่านั้น ทราบตามเอกสารหลักฐานในสำนวนคดีที่กล่าวโทษขึ้นไป

        นั่นก็คือ เรา "ชาวบ้าน" อย่าด่วนสรุปเองว่า

        พระเถระทั้ง ๕ ผิดจริง หรือไม่ผิด และปาราชิกแล้วหรือยังไม่ปาราชิก!

        ขั้นตอนนี้ ในทางกฎหมาย อยู่ในชั้น ป.ป.ช.รับเรื่องไว้ตรวจสอบก่อนเท่านั้น

        ยังไม่ได้ชี้ว่า คดีมีมูลหรือไม่มี!

        ดังนั้น ในขั้นตอนนี้ พระทั้ง ๕ ยังไม่มีความผิดใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางกฎหมายและทางพระวินัย

        เป็นแค่ "ถูกกล่าวโทษ" เท่านั้น!

        เรื่องคดี "เงินทอนวัด" นั้น เรื่องอยู่ที่ ป.ป.ช.ตอนนี้ ๙๗ คดี

        ชี้มูลความผิดข้าราชการล็อตแรกไปแล้ว ๔ ราย ล็อตที่สอง ๙ ราย

        ในจำนวนนี้ ส่งให้อัยการสูงสุด ฟ้องดำเนินคดีแล้ว ๙ ราย!

        คำถามที่เกิดต่อมา คือ............

        ในความเป็นพระ แถมเป็นระดับ "รัฐมนตรีสงฆ์" จะทำเหมือนคาหนามทิ้งไว้ในเนื้ออย่างนั้นเรื่อยไป

        โดยไม่ทำ "อย่างใด-อย่างหนึ่ง" ให้สังคมโลก สังคมพุทธ สิ้นข้อ "อึดอัด-ขัดข้อง"

        รอจนกว่า ป.ป.ช.จะชี้มูล

        จนกว่าอัยการจะฟ้อง-ไม่ฟ้อง

        และจนกว่า ศาลชั้นต้น-ชั้นอุทธรณ์-ชั้นฎีกา จะตัดสินเป็นที่สิ้นสุดอย่างนั้นหรือ?

        ข้อที่ ป.ป.ช.-รัฐบาล-คณะสงฆ์ ต้องรับผิดชอบความรู้สึก-เข้าใจของสังคมขณะนี้ คือ

        ทางรัฐบาล ทางมหาเถรสมาคม ควรหารือ "ทางปฏิบัติ" ขั้นต้น ว่าควรเป็นเช่นไร?

        แล้วแถลงให้ประชาชนเข้าใจในขั้นตอนเป็นการด่วน.......

        โดยเฉพาะรัฐมนตรีสงฆ์ถึง ๓ รูป

        ในความเป็นองค์คณะ "มหาเถรสมาคม" ผู้ปกครองสูงสุดคณะสงฆ์ทั้งประเทศ "ต้องมลทิน"

        ไม่เพียงอับเศร้าหมองศรีต่อใจศรัทธาชาวบ้านเท่านั้น

        วงการสงฆ์และสงฆ์ในปกครองเอง ก็จะ "อิหลัก-อิเหลื่อ" ในการทำสังฆกรรม

        ที่สำคัญ ทั้ง ๓ รูป เป็นพระราชาคณะชั้นพรหม ต้องมีกิจนิมนต์ในพระราชพิธี

        ถ้าไม่บริหารปัญหาอย่างใด-อย่างหนึ่งให้ลงตัวแต่เนิ่นๆ ก็จะเป็นปัญหากับทุกฝ่าย!

        ทาง ป.ป.ช.ก็ควรเร่งพิจารณาคดีเป็นพิเศษ เพื่อเอื้อต่อการปฏิบัติเป็นทางออกที่สอดคล้องกับมูลคดีให้กับคณะสงฆ์ด้วย

        ไม่มีอะไรต้องสงสัยว่า ป.ป.ช.ทำคดีได้หรือไม่?

        ในเมื่อกฎหมายระบุชัด ผู้มีตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ ถือเป็น "เจ้าพนักงาน" อยู่แล้ว

        เมื่อเจ้าพนักงานถูกกล่าวโทษ ป.ป.ช.ตรวจสอบเพื่อดำเนินคดีได้อยู่แล้ว

        ดูทาง ป.ป.ช.เขาก็เข้าใจประเด็นนี้อยู่ และรีบพิจารณา

        เรื่องเฉพาะหน้าตอนนี้ ตกหนักที่.....

        "คณะกรรมการมหาเถรสมาคม" ที่เรียก มส. ว่าคณะรัฐบาลสงฆ์ จะบริหารเรื่องนี้ให้ทันต่อการณ์อย่างไร?

        ไม่เพียงเอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัยเท่านั้น

        การทำอย่างใด-อย่างหนึ่ง.........

        จะถือเป็นบรรทัดฐานทางการบริหารคณะสงฆ์ด้วย!

        ในเมื่อ "เนื้อนาบุญ" ผืนใหญ่ถึง ๓ ผืน ตกอยู่ในสภาพ "ดินเสื่อมสภาพ"

        หว่านพืชพันธุ์ใดลงไป ก็ไม่งอก ถึงงอก ก็หงิกงอ ให้ผลไม่สมบูรณ์ เช่นนี้แล้ว

        ในความเป็น มส.ของพระเถระทั้ง ๓ ..........

        ย่อมได้สดับวรธรรมคติของ "สมเด็จพระญาณสังวร" บทหนึ่งเป็นแน่ ที่ว่า......

        "ทุกคนจะดีหรือชั่ว...สำคัญที่ตนเอง ตนเองมีความดีพอจะยอมรับความไม่ถูกต้องไม่ดีงามของตน

        ย่อมยินดีฝึกตน ย่อมยินดีแก้ไขตน ย่อมมีโอกาสเป็นคนดียิ่งขึ้น"

        นั่นคือ "สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง นาญโญ อัญญัง วิโสธเย" 

        อย่าต้องให้ มส.ทั้งคณะ ลำบากใจเลยครับ...พระคุณเจ้า!


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"