“สมเด็จ สุสมบูรณ์” กับการทำงานที่คิดในเชิงบวก


เพิ่มเพื่อน    

    การสนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีนั้น ในสมัยปัจจุบันเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อผู้ประกอบการรายย่อยเข้มแข็งได้ด้วยตัวเอง ก็จะเกิดการกระจายรายได้ไปยังชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด จึงเห็นได้ว่าในปัจจุบันภาครัฐยกเอาการพัฒนาเอสเอ็มอีขึ้นมาเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ
    และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนและพัฒนาผู้ประกอบการก็ได้ออกโครงการและมาตรการต่างๆ เพื่อดูแลและยกระดับเอสเอ็มอีกันเพียบ ซึ่งกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือดีไอทีพี ภายใต้กระทรวงพาณิชย์ ก็เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการส่งเสริมและสนับสนุนการค้าขายให้กับผู้ประกอบการภายในประเทศ ที่ไม่ใช่เพียงขายกันเอง แต่ต้องมีแผนจะขยายกลุ่มตลาดไปในยังประเทศอื่นๆ อีกด้วย เพื่อเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ค้าที่มีความพร้อมในประเทศไทย และยังเป็นแนวทางให้กับเอสเอ็มอีหน้าใหม่ๆ ที่จะเข้ามาทำกิจการ สามารถยึดหลักในการต่อยอดสินค้าและบริการของตัวเองได้...


    เกริ่นนำมาอย่างยืดยาว “อาทิตย์เอกเขนก” รอบนี้จึงอยากจะพาไปรู้จักกับผู้ที่กุมบังเหียนของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในนักคิดและสุดยอดไอเดียคนเก่งอีกหนึ่งคนของหน่วยงานรัฐ อย่าง สมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมฯ ที่ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2562 หรือตั้งแต่ปีที่แล้ว กรมฯ มีกิจกรรมและโครงการต่างๆ ออกมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย
    แถมยังมีงานที่โดดเด่นในหลายๆ ด้าน นอกเหนือจากสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดใหญ่แล้ว ยังมีแผนที่จะดูแลเอสเอ็มอีมาโดยตลอด โดยสมเด็จเล่าว่าตัวเองเป็นลูกหม้อของกรมฯ มาตั้งแต่เริ่มทำงานอยู่แล้ว จึงเห็นว่าความเป็นมาเป็นไปว่ามาจากไหนและต้องการอะไร สิ่งไหนเป็นรูโหว่จะต้องอุด สิ่งไหนเป็นช่องทางที่จะต่อยอดได้


    จากประวัติ สมเด็จเล่าว่าตัวเองเกิดมาในครอบครัวที่ค้าขายมาโดยตลอด ที่บ้านก็จะเห็นความเป็นมาของตลาด แต่ด้วยการปลูกฝังของครอบครัวที่อยากให้ลูกนั้นได้รับราชการ ซึ่งหลังจากเรียนจบจากนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ตัวเองก็จึงเตรียมตัวที่จะมาสมัครเข้ารับราชการตามที่ครอบครัวหวังไว้
    “ตอนเรียนจบใหม่ๆ กลับมาอยู่ไทย ก็มาไล่ดูว่าที่ไหนเปิดรับบ้าง ก็อยากรับราชการแบบที่ครอบครัวตั้งความหวัง แต่ก็เป็นคนเลือกงานว่าอยากทำงานที่อยากทำจริงๆ ซึ่งเราชอบด้านการขาย การตลาดมาโดยตลอด ตอนนั้นก็มีสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์เปิดรับอยู่ ว่ากำลังจะไปสมัคร แต่พอดีมีเพื่อนที่เรียนด้วยกันสมัยมัธยมปลาย ตอนนั้นเขาทำบริษัทส่งออกอยู่ มาแนะนำว่ามีกรมฯ ของหน่วยงานรัฐที่รัชดาฯ น่าสนใจ ดูดี และอาคารติดแอร์ด้วย ก็เลยตัดสินใจมาสมัคร”
    และตั้งแต่วันนั้นของปี 2529 สมเด็จก็รับราชการอยู่ภายใต้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มาโดยตลอด โดยเริ่มจากสถาบันฝึกอบรมก่อน จึงได้เห็นว่าการพัฒนาคนในองค์กรหรือที่ไหนก็ตามเป็นเรื่องสำคัญ หลังจากที่ทำงานในสถาบันนั้นมาได้สักระยะ ก็อยากได้ประสบการณ์ในต่างประเทศบ้าง จึงเริ่มสมัครไปเป็นตัวแทนของกรมฯ อยู่ต่างประเทศ


    เริ่มต้นที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตอนนั้นเริ่มทำงานในต่างประเทศใหม่ๆ ก็ค่อนข้างยาก เพราะตัวเองนั้นจริงๆ เป็นคนที่กลัวกับสิ่งที่ต้องเผชิญข้างหน้า แต่ก็มีความมุ่นมั่นที่อยากจะทำ และก็คิดในเชิงบวกตลอดเวลา จึงทำให้รู้สึกชอบ และก็สนุกกับการใช้ชีวิตแบบนี้ พร้อมกับได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ มากมาย
    อย่างตอนไปอยู่ที่แอฟริกาก็เริ่มเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับประเทศนั้นๆ จึงมองเห็นโอกาสของผู้ค้าในประเทศไทย เนื่องจากตอนนั้นแอฟริกาเป็นตลาดใหม่ รวมทั้งเป็นประเทศที่ยังไม่มีการเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรมของประเทศอื่นๆ จึงทำให้มีการผลิตในประเทศไม่เพียงพอ ไม่มีเทคโนโลยีในการพัฒนาสินค้า ยกตัวอย่าง นามิเบีย ทั้งๆ ที่มีชายทะเลเยอะ แต่ต้องนำเข้าปลากระป๋องจากประเทศไทย เพราะถ้าในประเทศผลิตเองจะต้นทุนสูงเกินไปเพราะไม่มีประสิทธิภาพและไม่มีเครื่องจักรที่ทันสมัย

    สมเด็จกล่าวว่า ตลอดเวลาที่ทำงานก็ไปๆ มาๆ ระหว่างประเทศไทยและต่างประเทศมาโดยตลอด อยู่ต่างประเทศประมาณ 11-12 ปี ได้พบปะสัมผัสกับเอกชนหลายแบบ แต่ละที่จะมีปัญหาตลอด จึงทำให้รู้ว่าเราต้องเรียนรู้และตามเขาให้ทัน ไม่ใช่รอขอความช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว และส่วนตัวเองก็เป็นคนชอบเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ด้วย
    “เป็นคนชอบคิด ปิ๊งไอเดียใหม่ๆ ตลอด แต่จะพูดกับลูกน้องเสมอว่าจะไม่สามารถทำเองได้ แต่มาอยู่ที่นี่ก็ดีที่มีลูกน้องสามารถนำงานเราไปต่อยอดได้ โดยเราจะใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาช่วยแนะแนวทางให้ และเมื่อเห็นโอกาสเข้ามาจะรีบคว้าไว้ทันที ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อองค์กรให้สามารถต่อยอดได้”

    เมื่อถามถึงเป้าหมายที่จะพัฒนาต่อไปคืออะไร สมเด็จก็เล่าว่า ต้องการจะทำให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เป็นองค์กรชั้นนำในเรื่องของกิจกรรม จะไม่หยุดนิ่ง กล้าตัดสินใจภายใต้ข้อมูลต่างๆ มีอยู่ และพร้อมที่จะรับฟังความเห็นของคนอื่นๆ เปิดกว้างและยอมรับในเรื่องความคิด โดยเฉพาะแนวทางการตลาดใหม่ๆ
    “ตอนนี้ถือว่าอยู่ในจุดที่คิดว่าเกินจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว เพราะตอนที่มาทำงานใหม่ๆ เข้ามารับราชการ แต่ก็มีหัวหน้าที่อายุเยอะมาก จนแอบคิดว่าชีวิตนี้จะสามารถได้ขึ้นเป็นหัวหน้าบ้างไหม แต่ตอนนี้ก็ทำได้แล้ว เราเชื่อในเรื่องของการรับผิดชอบและคิดในเชิงบวกมากๆ ถ้ามีสองสิ่งนี้การทำงานก็จะประสบความสำเร็จ”.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"