ปัจจัยเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม


เพิ่มเพื่อน    

 

ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 จนมาถึงกลางปี 2563 โลกต้องเจอกับความไม่แน่นอนต่างๆ ได้แก่ การแพร่ระบาดของโควิด-19 และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน เป็นต้น สถานการณ์เหล่านี้ส่งผลให้เศรษฐกิจผันผวน จนเศรษฐกิจระดับภูมิภาคในพื้นที่ต่างๆ ก็พลอยผันผวนและชะลอตัวไปด้วย ทำให้เกิดอุปสรรคต่อการลงทุนทั่วโลก แต่นักลงทุนจะสามารถก้าวผ่านอุปสรรคนี้ไปได้หากมีการวางแผนที่ดี และแน่นอนว่าการวางแผนจำเป็นต้องมีข้อมูลเสียก่อน ธนาคารซิตี้แบงก์จึงเผยแนวโน้มเศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลัง 2563 เพื่อช่วยให้นักลงทุนเตรียมความพร้อมและเป็นแนวทางสำหรับอีกระยะเวลาสองไตรมาสที่เหลือ 

                สำหรับข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจครึ่งปีหลังนั้น นายดอน จรรย์ศุภรินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย ได้จัดงานสัมมนาออนไลน์ “2020 Mid-Year Annual Outlook” แถลงข้อมูลทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนครึ่งหลังปี 2563 พบว่ามี 5 เรื่องที่น่ารู้ที่จะมาช่วยเสริมข้อมูลด้านการลงทุนไว้รับมือสถานการณ์เศรษฐกิจ 

                ข้อแรกคือเศรษฐกิจโลกภาพรวมปี 63 หดตัว แต่จะค่อยๆ ฟื้นตัว จากการวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกครึ่งหลังปี 63 พบว่าอาจติดลบ 3.5% แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะยังค่อยๆ ฟื้นตัวกลับขึ้นมาเป็น 5.5% ในปี 64 ตามลำดับ แต่ตลาดการลงทุนทั่วโลกก็ยังต้องเผชิญความท้าทายสูง จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก เช่น การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ความไม่แน่นอนด้านภูมิศาสตร์การเมือง สงครามการค้าสหรัฐ-จีน รวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนตลอดปีที่ผ่านมา 

                ขณะที่ตัวเลขระดับภูมิภาคหลายแห่งจะกลับมาคึกคักคลายล็อกดาวน์ เช่น อัตราการว่างงานที่ลดลง ยอดการค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐอเมริกาในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดยังไม่คลี่คลาย แต่ก็เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจ ตลอดจนมาตรการด้านการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และรัฐบาลสหรัฐที่จะช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่ดัชนีจีดีพียูโรโซนเองของครึ่งปีหลังก็มีแนวโน้มการฟื้นตัวในระยะเวลาประมาณ 2 ปี โดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้มาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจภูมิภาคในระยะยาว ตลอดจนจีดีพีของภูมิภาคเอเชียในปีนี้อาจโตขึ้น 0.5% โดยเฉพาะประเทศจีนที่คาดการเติบโตขึ้น 2.4% เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มกลับมาคึกคัก แม้ประเทศจีนจะเป็นประเทศแรกที่เผชิญหน้ากับโควิด-19 ก็ตาม

                ส่วนตลาดเกิดใหม่ในเอเชียยังคงเป็นดาวเด่น โดยนักวิเคราะห์ซิตี้คาดว่าหุ้นวัฏจักรจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มตลาดเกิดใหม่ภูมิภาคเอเชียพบว่ามีความน่าลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สุขภาพและเทคโนโลยีดิจิทัลไลเซชั่น (Digitalization) ที่สามารถเติบโตในระยะยาวและทนทานต่อผลกระทบจากโควิด-19 ได้ดีกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่น รวมถึงทองคำก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ

                นอกจากนี้ ยังต้องจับตาราคาน้ำมันและทองคำต่อเนื่อง โดยน้ำมันดิบยังมีอุปสงค์สวนกับอุปทาน คาดว่าจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์และน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส (WTI) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 42 และ 38 ดอลลาร์สหรัฐต่อบารร์เรล ตามลำดับ ส่วนทองคำยังเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,600-1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และมีแนวโน้มว่ามูลค่าเฉลี่ยจะประมาณ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในปี 2564

                ข้อสุดท้ายเป็นเรื่องของสกุลเงินต่างประเทศยังคงมีความผันผวนสูง ผู้ที่สนใจลงทุนในค่าเงินต้องคอยเฝ้าดูเป็นพิเศษ เพราะค่าเงินยังคงผันผวนสูง โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อาจอ่อนค่าลงในระยะกลางถึงระยะยาวในปีนี้ จากการขยายงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐ เพื่ออัดฉีดสภาพคล่อง ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และสกุลเงินเยนเป็นสิ่งที่นักลงทุนมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในยามที่ตลาดหุ้นผันผวน ซึ่งสามารถช่วยเสริมความมั่นคงให้กับพอร์ตการลงทุน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนก็ยังควรติดตามประเด็นสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์โลกอย่างใกล้ชิด เพื่อลดความเสี่ยงการลงทุนท่ามกลางเศรษฐกิจที่ผันผวนควบคู่กันไปด้วย.

 

รุ่งนภา สารพิน

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"