'ดร.นิว'ร่ายยาวการทำลายราชอาณาจักรโดยยัดเยียดทฤษฎีสาธารณรัฐของลัทธินิยมคณะราษฎร


เพิ่มเพื่อน    

11 ส.ค.63-  ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ  หรือ "ดร.นิว" นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กSuphanat Aphinyan เรื่อง การทำลายราชอาณาจักรโดยยัดเยียดทฤษฎีสาธารณรัฐของลัทธินิยมคณะราษฎร

โดยระบุรายละเอียดว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยถูกคณะราษฎรกดให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเผด็จการมาตั้งแต่ต้น สถาบันฯ จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือทั้งในการนิรโทษกรรมและการรัฐประหารแย่งชิงอำนาจกันเองภายในคณะราษฎรอยู่หลายครั้ง และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีการเพิ่มพระราชอำนาจในการระงับหรือปฏิเสธการรัฐประหารอีกด้วย จนทำให้พฤติกรรมเผด็จการเหล่านี้กลายเป็นเรื่องปกติและจุดเริ่มต้นของวงจรอุบาทว์ในประเทศไทย
.
เหตุผลสำคัญที่ประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ก็เพราะความล้มเหลวของประชาธิปไตยจอมปลอมของคณะราษฎร ตลอดจนการเกิดขึ้นของลัทธินิยม(คลั่ง)คณะราษฎรอย่างไม่ลืมหูลืมตา ยึดมั่นถือมั่นกับความแนวทางของคณะราษรที่สุดแสนจะโบราณและผิดหลักวิชา แถมยังตกเป็นเครื่องมือของต่างชาติที่มีส่วนในการยุยงให้คนไทยทะเลาะกันเองเพื่อหวังเข้ามาครอบงำและแทรกแซงในที่สุด
.
ขบวนการล้างสมองนักศึกษาด้วยชุดความคิดหลงยุคของคณะราษฎรนั้นมีอยู่จริง เริ่มต้นจากซอกหลืบเล็กๆในรั้วมหาวิทยาลัย แล้วขยายกลายเป็นวงกว้างโดยอาศัยโซเชียลมีเดีย มันจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ชุดความคิดของนักศึกษาและเครือข่ายการเมืองหัวรุนแรงกลุ่มหนึ่งเป็นชุดความคิดเดียวกับของ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ตลอดจน คุณลุงสุรชัย ชัชวาลพงศ์พันธ์(อดีตคู่ขาของอาจารย์ ช.เกย์เฒ่าผู้คลั่งไคล้คณะราษฎรและอยู่เบื้องหลังเครือข่ายล้างสมองทางวิชาการอีกคนหนึ่ง) ที่ถือหลักการประหลาดๆของคณะราษฎร ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามแนวทางสากลของระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่เป็นการนำแนวทางของคณะราษฎรที่ค่อนไปทางสาธารณรัฐ มาปลอมปนและยัดเยียดใช้กับความเป็นราชอาณาจักรอย่างไร้หลักการและเหตุผล ตลอดจนขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างร้ายแรง สิ่งนี่ต่างหากที่เป็นรากเหง้าของปัญหาและถ่วงความเจริญของประชาธิปไตยที่ถูกต้องตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของชาติไทยมาอย่างยาวนานกว่า 88 ปี
.
ลองคิดดูง่ายๆว่าขนาด ส.ส.ยังได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันเลย แค่นับหนึ่งก็ผิดแล้ว เพราะสถาบันฯ ทรงดำรงอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐมีความคุ้มกันเป็นสิทธิพื้นฐานตามหลักสากลของระบอบการปกครอง ดังนั้นความพยายามในการแก้ไขมาตรา 6 “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้” จึงเป็นการแสดงออกของความไม่มีความรู้อย่างร้ายแรง โดยที่ไม่รู้ว่านี่เป็นหลักการสากลของระบอบปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประเทศอังกฤษเขาก็มี “Although civil and criminal proceedings cannot be taken against the Sovereign as a person under UK law.” (https://www.royal.uk/queen-and-law)
.
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ประเทศนอร์เวย์ที่มีดัชนีความเป็นประชาธิปไตยสูงที่สุดในโลก และมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเหมือนกัน ก็มีปรากฏในมาตรา 5 ตามรัฐธรรมนูญของนอร์เวย์ “The King's person cannot be censured or accused. The responsibility rests with his Council.” อีกทั้งมาตรา 37 ก็ยังให้ความคุ้มครองไปถึงพระราชโอรสและพระราชธิดาอีกด้วย (https://www.stortinget.no/…/pdf/eng…/constitutionenglish.pdf)
.
ดังนั้นความเชื่อตามลัทธิคลั่งคณะราษฎรเป็นฮีโร่แล้วป้ายสีสถาบันฯ ที่จะยกเลิกมาตรา 6 แล้วตั้งสภาพิจารณาความผิดของสถาบันฯ จึงเป็นเรื่องที่ผิดหลักวิชา และไม่มีที่ไหนในโลกที่ระบอบการปกครองนี้เขาทำกัน จะมีก็แต่คนกลุ่มหนึ่งในประเทศไทยเท่านั้นที่ยังล้าหลัง และยังหลงงมงายอยู่กับแนวทางปัญญาอ่อนของคณะราษฎรที่ผิดหลักวิชาอย่างไม่ลืมหูลืมตา แล้วนำมาโจมตีใส่ร้ายสถาบันฯ อย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
.
การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อ้างว่าเป็นการขยายอำนาจของสถาบันฯ ล้วนแล้วแต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆกับอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินผ่านทางรัฐสภาที่เป็นประชาธิปไตยตัวแทนของประชาชน ดังนั้นการกล่าวหาว่ามีการขยายพระราชอำนาจที่อาจกระทบกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจึงเป็นการบิดเบือนเพื่อใส่ร้ายป้ายสี สำหรับ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ปี 2561 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลับก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว พ.ร.บ.ฉบับนี้เปิดโอกาสให้ประเทศชาติได้รับภาษีจากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จำนวนไม่น้อยเพิ่มขึ้นอีกด้วย
.
ในส่วนของการโอน "ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์" จากกรมทหารราบที่ 1 และ 11 ซึ่งมีหน้าที่รักษาพระองค์อยู่แล้ว มายังหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ โดยไม่ได้มีการเพิ่มงบหรือกำลังพลแต่ประการใด ย่อมเป็นการลดความซ้ำซ้อนของหน่วยงาน และเปิดโอกาสให้มีกำลังพลมากพอที่จะช่วยเหลือประชาชนตามพระบรมราโชบายของหน่วยราชการในพระองค์ ต่อมาสำหรับข้อเสนอที่บอกให้ยกเลิกองคมนตรี ย่อมขัดแย้งกับบทบาทของประมุขแห่งรัฐในการถ่วงดุลอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินของระบอบการปกครอง เพราะปัจจุบันประเทศอังกฤษยังคงมีองคมนตรีจำนวนกว่า 600 คน (https://privycouncil.independent.gov.uk/…/privy-council-me…/) ในขณะที่ประเทศนอร์เวย์ก็มี “Council of State” ที่มีบทบาทสำคัญประการหนึ่งในลักษณะที่คล้ายกับสภาองคมนตรี และสำหรับการยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ สถาบันฯ ไม่เคยแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเพราะทรงเป็นกลางทางการเมือง ทรงมีแต่กระแสพระราชดำรัสที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติโดยส่วนรวมอันสมควรแก่ฐานะของประมุขแห่งรัฐ
.
นับตั้งแต่อดีต สถาบันฯ ของไทยทรงเลิกทาส วางรากฐานของความเจริญแบบตะวันตกและระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น ปัญหาทั้งหมดล้วนแต่เกิดขึ้นเพราะคณะราษฎรที่เข้ามาทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างผิดหลักวิชา สร้างรัฐธรรมนูญขึ้นมาหลอกลวงประชาชน เพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยที่ปล้นมาจากประชาชน และรักษาระบอบเผด็จการของตัวเอง โดยไม่ได้สร้างประชาธิปไตยทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกัน คณะราษฎรก็บั่นทอนความสำคัญของสถาบันฯ ออกไปทีละเล็กทีละน้อย ตลอดจนทำลายการถือดุลการปกครองของสถาบันฯ ที่มีส่วนช่วยในการถ่วงดุลอำนาจให้นักการเมืองทำงานรับใช้ประชาชนอย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้ในปัจจุบัน แม้แต่อำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรงตามแบบฉบับของอังกฤษ สถาบันฯ ก็ยังไม่มี แต่กลับกลายเป็นการโหวตลงมติของสภาผู้แทนราษฎรในการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีแทน (https://www.instituteforgovernment.org.uk/…/appointment-pri…)
.
อีกตัวอย่างง่ายๆที่ชัดเจนของการลดความสำคัญของสถาบันฯโดยคณะราษฎร คือ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนเพลงชาติไทยในอดีต หรือ เพลงสรรเสริญพระบารมี ที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของชาติและรูปแบบของการปกครองแบบราชอาณาจักร ให้กลายเป็นเพลงชาติที่ไม่มีการกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์แม้แต่คำเดียว ในขณะที่ประเทศอังกฤษยังคงมีเพลงชาติที่กล่าวถึงสมเด็จพระราชินีทั้งเพลงตามอัตลักษณ์และการปกครองของประเทศมาจนถึงทุกวันนี้ ในเพลง “God Save the Queen” (https://www.youtube.com/watch?v=EcIb0rLnEL8)
.
มีแต่การยกปัญหาความขัดแย้งทางทฤษฎีขึ้นสู่ "หลักวิชาที่ถูกต้อง" เท่านั้น ที่จะนำไปสู่ทางออกของทุกปัญหาในบ้านเมืองนี้ได้อย่างสันติ และเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง สู่ความเป็นราชอาณาจักรประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ภายใต้ร่มพระบารมีอันสงบสุขร่มเย็น

ไม่ใช่การนำความเชื่อของลัทธิคลั่งคณะราษฎรมาโจมตีสถาบันฯ เพื่อบ่อนทำลาย เตะถ่วงความเจริญของประชาธิปไตยแบบราชอาณาจักร แล้วค่อยๆฉวยโอกาสใช้ความรุนแรงเป็นข้ออ้างไปสู่ความเป็นสาธารณรัฐ โดยการล้างสมองหลอกใช้ผู้บริสุทธิ์เป็นเครื่องมือด้วยความอำมหิต.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"