อรรถพลดักคอ‘อสส.’ปล่อยเนตรออกฟันวินัยไม่ได้


เพิ่มเพื่อน    

  “อรรถพล” เผยถ้าอัยการสูงสุดอนุญาตให้ “เนตร” ลาออกจากราชการ จะสอบวินัยไม่ได้ ขณะที่ทนายความประจำครอบครัวอยู่วิทยาเผยเยียวยาครอบครัว “กลั่นประเสริฐ” ทั้งเงินและจิตใจ สร้างอุโบสถมูลค่า 8 ล้าน ตามความประสงค์ “ดาบวิเชียร” ก่อนเสียชีวิต ด้านญาติบอกไม่ติดใจเรื่องคดี พร้อมวอนขออยากให้ผู้ตายจากไปอย่างสงบ

    เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการรายงานผลสรุปของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ที่มีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน เพียงสั้นๆ ว่า "ก็เสนอมาเป็นระยะๆ"
    ด้านนายอรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) กล่าวถึงการดำเนินการทางวินัยกับนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ที่ยื่นหนังสือลาออกว่า พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 58 บัญญัติในเรื่องการลาออก ว่าหากอัยการจะลาออกต้องให้อัยการสูงสุดสั่งอนุญาต แล้วให้ถือว่าพ้นจากตำแหน่ง แต่หากอัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่ราชการ จะยับยั้งการอนุญาตให้ลาออกไว้เป็นเวลาไม่เกินสามเดือน นับแต่วันขอลาออกก็ได้
    เขากล่าวว่า กรณีนี้ต้องไปดูว่าอัยการสูงสุดมีคำสั่งอย่างไร อนุญาตหรือยับยั้งหรือไม่ หากมีคำสั่งอนุญาตให้นายเนตรลาออก ไม่สามารถที่จะดำเนินการสอบวินัยได้ เพราะนายเนตรลาออกก่อนที่จะมีการเริ่มต้นกระบวนการสอบวินัย แต่ถ้ามีการเริ่มกระบวนการทางวินัยแล้ว ข้าราชการลาออกทีหลัง แบบนี้ถึงสอบวินัยได้ต่อ และต้องอย่าลืมว่ายังมีเรื่องคดีอาญาที่น่ากลัวกว่าการสอบวินัย ส่วนการตั้งคณะกรรมการสอบดุลพินิจยังต้องดำเนินต่อไป เพราะแม้จะลาออกพ้นไปแล้ว ก็ต้องมีหน้าที่มาให้การเพื่อให้ทราบ การสอบสวนครั้งนี้อัยการต้องชี้แจงต่อสังคมได้
    ผู้สื่อข่าวถามถึงตัวนายอรรถพลเตรียมตั้งกรรมการสอบดุลพินิจเสนอ ก.อ.พิจารณาตั้งอยู่แล้ว แต่อัยการสูงสุดกลับชิงตั้งก่อน เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าอัยการสูงสุดไม่ฟังท่านหรือไม่ นายอรรถพลตอบว่า ไม่ใช่ไม่ฟัง อัยการสูงสุดก็มีเหตุผลว่า ถ้าต้องรอตั้งคณะชุดสอบฯ ก็ต้องมีขั้นตอนและต้องใช้เวลา จะทำให้ช้า จึงตั้งกรรมการขึ้นมาก่อน ก็สามารถทำได้ ตนตรวจดูรายชื่อแล้วก็ตรงกันกับที่ตนตั้งใจทาบทามไว้บางส่วน แต่หากทาง ก.อ.ไม่เอา และ ก.อ.จะตั้งมาอีกชุดก็สามารถทำได้ คณะทำงานชุดที่นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุดตั้งขึ้น ก็ต้องรายงานอัยการสูงสุด และอัยการสูงสุดเป็นรองประธาน ก.อ.โดยตำแหน่งอยู่แล้ว ก็ต้องรายงานกับ ก.อ.อยู่ดี ก.อ.อาจไม่ตั้งคณะกรรมการก็ได้
    เมื่อถามว่า นายเนตรลาออกเพราะเลี่ยงการถูกซักถามเรื่องการใช้ดุลพินิจว่าสุจริตหรือไม่สุจริตใช่หรือไม่ นายอรรถพลตอบว่า ตนพูดแทนนายเนตรไม่ได้ ในท้ายเอกสารข่าวฉบับวันที่ 11 ส.ค. 2563 ก็มีรายละเอียดว่านายเนตรลาออกเพื่อให้ทุกคนสบายใจและเพื่อเป็นการแสดงสปิริต ต้องรับฟังไปตามนั้นก่อน
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายเนตรยื่นหนังสือลาออกจากราชการ จากการตรวจสอบขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่าอัยการสูงสุดเซ็นคำสั่งอนุญาตหนังสือลาออกของนายเนตรดังกล่าว โดยหากอัยการสูงสุดมีคำสั่งอนุญาตออกมา จะต้องแจ้งเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) เนื่องจากจะต้องมีการพิจารณาในการปรับคิวขยับขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่างของนายเนตร ซึ่งยังไม่ปรากฏเรื่องนี้ในสำนักงาน ก.อ.
คดี"ปรเมศวร์"
    ส่วนกรณีที่ปรากฏข่าวตำรวจเห็นควรฟ้องคดีนายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี ก่อเหตุขับรถยนต์ยี่ห้อนิสสันทะเบียน 7 กส 2300 กรุงเทพฯ เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ยี่ห้อคาวาซากิ รุ่นเคอาร์สีเขียว (ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน) มีนายธรรมรัตน์ ทองทวี เป็นผู้ขับขี่และรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ 125 ไอ สีแดงดำ ทะเบียน 8 กร 6848 กรุงเทพฯ มีนายธันณเรศ ร้อยกรอง อายุ 21 ปี เป็นผู้ขับขี่ เป็นเหตุให้นายธรรมรัตน์ได้รับบาดเจ็บ รถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหายและไม่หยุดลงมาช่วยเหลือ แต่มีพลเมืองดีติดตามไปทันที่บริเวณทางเข้าวัดหูช้าง เมื่อวันที่ 28 ก.พ.2562 นายปรเมศวร์โดนแจ้งข้อหาความผิด ฐานความผิดขับขี่รถขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับอันตรายแก่กายจิตใจ, ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน, ขับรถเฉี่ยวชนแล้วหลบหนี และกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายจิตใจ
    เรื่องนี้ต้องดูในวันที่ 18 ส.ค. ที่จะมีการประชุม ก.อ. นายวิเชียร สุดรุ่ง อธิบดีอัยการสำนักงาน ก.อ. ในฐานะเลขานุการ ก.อ. หรือ ก.อ.คนอื่น จะหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพิจารณากันหรือไม่ หรือนายปรเมศวร์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน ก.อ. ก็สามารถที่จะรายงานเรื่องดังกล่าวในที่ประชุม ก.อ.ได้ด้วยตนเอง
    แหล่งข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุดได้เผยระเบียบกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ 826/2482 ลงวันที่ 2 พ.ค.2482 ลงนามโดยนายดิเรก ชัยนาม เรื่องข้าราชการต้องหาในคดีอาญาหรือคดีแพ่งหรือคดีล้มละลาย ซึ่งยังเป็นระเบียบถือปฏิบัติต่อกันมานาน ยังไม่แก้ไข มีสภาพใช้บังคับอยู่ โดยระเบียบระบุว่า ด้วยคณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาลงมติเมื่อวันที่ 1 เดือนนี้ ว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ให้กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ แจ้งให้ข้าราชการประจำการและข้าราชการบำนาญทราบว่า ถ้าผู้ใดต้องหาในคดีอาญาหรือแพ่งหรือคดีล้มละลาย ให้รายงานให้เจ้ากระทรวง ทบวง กรมในสังกัดทราบโดยด่วน ทั้งนี้ เพื่อเจ้ากระทรวง ทบวง กรมจะได้ทราบความเป็นไปของข้าราชการในสังกัด กรณีนี้จึงต้องไปดูว่านายปรเมศวร์ได้กระทำตามระเบียบที่ว่านี้เเล้วหรือยัง
    นายสมัคร เชาวภานันท์ ทนายความประจำครอบครัวอยู่วิทยา ให้สัมภาษณ์ว่า ครอบครัวของนายวรยุทธได้รับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของ ด.ต.วิเชียร ด้วยการเยียวยาเป็นมูลค่าเงิน 3 ล้านบาท ผ่านนายพรอนันต์ กลั่นประเสริฐ พี่ชายของ ด.ต.วิเชียร นอกจากนั้นยังจัดพิธีศพให้เป็นมูลค่า 5 แสนบาท, ชดใช้ค่าวิทยุสื่อสารของตำรวจที่สูญหาย และซ่อมรถจักรยานยนต์ตำรวจให้ รวมถึงได้ทำตามความประสงค์ของ ด.ต.วิเชียร ก่อนเสียชีวิต ที่ต้องการทำบุญบูรณะและสร้างอุโบสถ โดยทางครอบครัวอยู่วิทยาได้ดำเนินการสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้นที่วัดศรีบุญเรือง จ.สกลนคร มูลค่า 8 ล้านบาท เพื่ออุทิศให้ ด.ต.เชียรที่เสียชีวิต และร่วมบริจาคเงินให้กับมูลนิธิเพื่อการกุศลต่างๆ ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยแจ้งข่าวต่อสื่อมวลชนหรือสาธารณะ และการเยียวยาเป็นตัวเงินและจิตใจดังกล่าวไม่เคยหวังผลทางคดี
        นายสมัครกล่าวด้วยว่า การเยียวยาทั้งตัวเงินและจิตใจนั้นครอบครัว ด.ต.วิเชียรพอใจ เพราะนายพรอนันต์เคยเขียนจดหมายขอบคุณครอบครัวนายวรยุทธที่ช่วยจัดการงานศพ และช่วยเหลือญาติๆ ของ ด.ต.วิเชียร พร้อมระบุว่าเหตุการณ์สูญเสียที่เกิดขึ้นไม่ติดใจเอาความ พร้อมอโหสิกรรมให้กับนายวรยุทธ และฝากเตือนให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ
ฟังความข้างเดียว
         “กระแสข่าวที่โจมตีฝั่งนายบอสนั้นคือการฟังความข้างเดียว และได้ร้บข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้อง หากทำใจเป็นกลางและพิจารณารายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้น ด.ต.วิเชียรขับรถตัดหน้ารถกระบะจากเลนซ้ายสุดไปเลนที่ 3 ทำให้เกิดการชนกันในเลนขวาสุด โดยเป็นเหตุสุดวิสัย และสามารถยกฟ้องได้ ดังนั้น เมื่อคนคิดว่าชนแล้วต้องผิด แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้คือไม่ใช่ เราใช้ช่องทางตามกฎหมายในการร้องขอความเป็นธรรม คุณบอสเขาไปรายงานตัวตามนัดทุกครั้ง และเมื่อเขาไปต่างประเทศ คุณออกหมายจับและถอนพาสปอร์ตเขา แบบนี้เขาจะกลับเข้าประเทศได้อย่างไร” นายสมัครกล่าว
         ทนายความครอบครัวอยู่วิทยากล่าวด้วยว่า ในการต่อสู้คดีต้องทำทุกวิถีทาง และสู้คดีทุกขั้นตอน ตั้งแต่ชั้นสอบสวนและอัยการ เพราะหากไปต่อสู้ในชั้นศาลแล้วศาลระบุว่าทำไมไม่ต่อสู้ในชั้นสอบสวน อาจเป็นเหตุให้ศาลไม่รับฟังพยานหลักฐานได้ อย่างไรก็ตาม กรณีที่อัยการวินิจฉัยเรื่องคดีว่าไม่ผิด หรือตำรวจบอกว่าสำนวนนี้ไม่ผิด ไม่ใช่ความผิดของทนายหรือนายวรยุทธ เพราะเป็นหน้าที่ที่อัยการจะวินิจฉัย แต่หากอัยการบอกว่าผิดต้องไปสู้กันต่อที่ศาล ดังนั้นตนขอวิงวอนให้ประชาชนเข้าใจข้อเท็จจริง และวางใจเป็นกลาง ไม่ใช่มองว่าเพราะเป็นลูกคนรวยแล้วรอดคดี
        ขณะที่นายใหม่ กลั่นประเสริฐ อดีตกำนันตำบลเกาะหลัก ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของ ด.ต.วิเชียร วัย 75 ปี ให้สัมภาษณ์ด้วยว่า ตนทราบว่าหลังจาก ด.ต.วิเชียรเสียชีวิต ได้รับเงินเยียวยาแล้ว จำนวน 3 ล้านบาท และแบ่งให้ญาติทั้ง 4 คน คนละ 7 แสนบาท และภรรยาจำนวน 2 แสนบาท นอกจากนั้นยังได้ทำหนังสือสัญญาว่าจะไม่ฟ้องร้องค่าเสียหายใดๆ อีก ทั้งนี้ ตนไม่ทราบรายละเอียดของการเยียวยาด้านอื่นๆ เพราะตนอยู่แต่ในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไม่ได้เข้ากรุงเทพฯ ซึ่งกรณีดังกล่าว นายพรอนันต์ซึ่งเป็นพี่ชายได้เป็นผู้ดำเนินการเรื่องทั้งหมด
         “ผมไม่มีความรู้ทางกฎหมายและไม่ได้ยุ่งเกี่ยว แต่ทราบว่าเมื่อได้รับการเยียวยาครอบครัวก็พอใจ ส่วนคดีความนั้นทางญาติไม่ติดใจอะไร เมื่อให้มาเท่านี้ก็พอใจ เพราะตระกูลเราไม่ได้ร่ำรวย ส่วนการฟ้องร้องหรือเรียกร้องอะไรนั้น ไม่อยากให้ต่อความยาวสาวความยืดกันอีกต่อไปแล้ว เพราะอยากให้ผู้เสียชีวิตได้จากไปอย่างสงบ” นายใหม่กล่าว
         ทางด้านนางณัฐนันท์ กลั่นประเสริฐ ภรรยาของนายพรอนันต์ กลั่นประเสริฐ และในฐานะพี่สะใภ้ ด.ต.วิเชียร ให้สัมภาษณ์ยอมรับต่อการได้รับเงินเยียวยาจากครอบครัวอยู่วิทยา จำนวน 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างทนายของครอบครัวอยู่วิทยาและครอบครัวของ ด.ต.วิเชียร นอกจากนั้นได้ช่วยจัดงานศพให้ ส่วนรายละเอียดเยียวยาด้านอื่นๆ เช่น สร้างโบสถ์ ทำบุญนั้น ไม่รับทราบ แต่ทางญาติได้นำเงินสร้างศาลาวัดที่ต่างจังหวัด ส่วนเป็นจังหวัดใดนั้นไม่ขอเปิดเผย แต่ได้ระบุอุทิศกุศลนั้นให้กับ ด.ต.วิเชียร พร้อมทั้งบิดาและมารดาของ ด.ต.วิเชียร
         “ขณะนี้นายพรอนันต์อยู่ระหว่างการรักษาอาการของเส้นเลือด  ดิฉันจึงไม่ต้องการให้รับรู้รายละเอียดใดๆ เพราะไม่ต้องการให้มีภาวะเครียด ซึ่งจะส่งผลต่อความดันและเป็นอันตรายได้ อีกทั้งการต่อสู้คดีนี้คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของอัยการและกระบวนการยุติธรรม เพราะครอบครัวของดิฉันจะไม่ฟ้องร้องอะไร เพราะต้องทำงาน ปล่อยให้คนตายได้ตายอย่างสงบ ดิฉันไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ เพราะตามกฎหมายไม่ใช่ทายาทหรือผู้สืบสันดาน จึงหมดสิทธิ์ฟ้องร้อง อีกทั้งเคยทำสัญญาว่าจะไม่ฟ้องร้องค่าเสียหายทั้งทางอาญาและทางแพ่งเพิ่มเติมอีก” นางณัฐนันท์กล่าว.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"