โรมปูดอดีตบิ๊กตร.พันคดีอุ้มบอส


เพิ่มเพื่อน    

 กมธ.ตำรวจชงผลสรุปคดี “บอส" ให้ "ชวน-บิ๊กตู่-วิชา" พร้อมเสนอฟันอาญา ม.157 เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง กมธ.กฎหมายห่วง "ธนสิทธิ์" ซ้ำรอย "จารุชาติ" โรมเปิดตัวละครใหม่   "บิ๊กอ๊อด" พา "สายประสิทธิ์" พบ "ธนสิทธิ์" คำนวณความเร็วใหม่ทำให้คดีพลิก จ่อเชิญมาชี้แจง "วิชา” เผย "อรรถพล-เนตร" เข้าชี้แจง ต่างฝ่ายยืนยันความถูกต้อง รับนายกฯ สั่งให้ส่งคดีบอสขึ้นศาลให้ได้ "ผบ.ตร." ส่งหลักฐานให้ อสส.มีคำสั่งเอาผิดความเร็วรถพบ ตร.บกพร่องเพิ่มกว่า 20 นาย

    ที่รัฐสภา วันที่ 14 สิงหาคม นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ ส.ส.สงขลา พรรคภูมิใจไทย ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.)การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการตรวจตอบคดีนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ว่าวันนี้ทางคณะกมธ.จะส่งรายงานผลการพิจารณาเรื่องขั้นตอนการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ไปยังประธานสภาฯ พร้อมทั้งนำเสนอไปยังนายกรัฐมนตรี และนายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
    นายณัฏฐ์ชนนกล่าวว่า กมธ.เห็นว่าการสอบสวนของพนักงานสอบสวนและการสั่งคดีของพนักงานอัยการได้ดำเนินการถูกต้องตามกระบวนการทางกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว อย่างไรก็ตาม การใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการและพนักงานสอบสวนในการรวบรวมพยานหลักฐาน การสอบสวนเพิ่มเติมและการพิจารณาสั่งคดี ในการดำเนินคดีนี้ไม่ถูกต้องในรูปคดีและไม่ชอบธรรมต่อสังคม กรณีไม่สามารถติดตามตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดี อาจเป็นช่องทางในการประวิงคดีหรือดำเนินคดีล่าช้าจนคดีขาดอายุความ ซึ่งเป็นช่องว่างในทางกฎหมายในการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ กมธ.เห็นว่าจึงไม่ควรนับระยะเวลาที่ผู้ต้องหาหลบหนีรวมเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ และควรกำหนดให้ศาลสามารถพิจารณาคดีโดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย
    โฆษก กมธ.ตำรวจกล่าวต่อว่า สำหรับการตรวจพบสารแปลกปลอมในเลือดของผู้ต้องหา ซึ่งอาจเกิดจากการเสพโคเคนร่วมกับแอลกอฮอล์ กมธ.มีความเห็นว่าพนักงานอัยการสามารถสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาเพิ่มเติมในข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งการดำเนินคดีเพิ่มเติมดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ในคดี อันจะนำไปสู่การสอบสวนในคดีดังกล่าวอีกครั้ง ส่วนการพิสูจน์อัตราความเร็วในข้อหาขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ในคดี
    "หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีทั้งในชั้นพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ ดำเนินการสอบสวนและการพิจารณา สั่งไม่ฟ้องคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นความผิดตามมาตรา 157 กมธ.เห็นควรให้นำคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาล ซึ่งหากศาลพิพากษาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิดตามข้อกล่าวหาดังกล่าว อาจส่งผลให้คำสั่งไม่ฟ้องคดีของพนักงานอัยการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และต้องมีการสอบสวนและพิจารณาสั่งคดีดังกล่าวอีกครั้ง" นายณัฏฐ์ชนน  กล่าว
    นายสิระ เจนจาคะ ประธานกรรมาธิการการกฎหมาย การ ยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ในการชี้แจงของ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์ สบ 4 กลุ่มงานตรวจเคมีฟิสิกส์ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน พูดในที่ประชุมกลับไปกลับมา มีข้อพิรุธ ทำให้น่าสงสัยว่ามีผลประโยชน์อะไรหรือไม่ ถูกผู้บังคับบัญชาบางคนบังคับอะไรหรือไม่ เพราะผลจากการให้การของ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์เรื่องความเร็ว ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางคดี ก่อนที่จะเข้ามาชี้แจง ได้พูดคุยกับตนเป็นการส่วนตัวว่าจะพูดว่าโดนใครบังคับให้ทำ แต่พอมาชี้แจงบอกเพียงว่ามีผู้บังคับบัญชาคนหนึ่งพานายสายประสิทธิ์มาหา รวมถึงนายสาย ประสิทธิ์เองพบความผิดปกติหลายอย่าง ไม่มีใบประกอบวิชาชีพวิศวกรรม ขณะที่พนักงานสอบสวนก็น่าจะบกพร่องต่อหน้าที่เช่นกัน เราเป็นห่วง พ.ต.อ.ธนสิทธิ์จะมีอันตรายเหมือนกับพยานในคดีที่อยู่ในเชียงใหม่ อยากเรียกร้องให้ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์รีบเปิดเผยข้อเท็จจริง ขณะเดียวกัน ผบ.ตร.ก็ควรให้ความคุ้มครอง พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ด้วย
เปิดชื่อ"บิ๊กอ๊อด"บีบ"ธนสิทธิ์"
    นายสิระกล่าวอีกว่า ทาง กมธ.จะเชิญ พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี อดีต ผกก.(สอบสวน) สน.ทองหล่อ นายสายประสิทธิ์ นักวิชาการที่คำนวณความเร็ว พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร หนึ่งในพยานที่ให้การนายวรยุทธขับรถไม่รวดเร็ว รวมทั้งนายธานี อ่อนละเอียด อดีต กมธ.กฎหมายฯ สมัย สนช. นายวรยุทธ มาชี้แจงด้วย ส่วนนายวรยุทธแม้ทนายความจะอ้างว่าถูกเพิกถอนพาสปอร์ตแล้วไม่อยู่ในประเทศไทย เมื่อนายบอสยังเป็นคนไทย ไม่ว่าจะรวยหรือจนต้องมารับโทษ ทั้งนี้แม่น้ำ 3 สาย 1.คณะทำงานชุดที่มีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน 2.ฝ่ายตำรวจ 3.อัยการ เราจะเชิญมาให้ข้อมูลกรรมาธิการกฎหมายฯ เพื่อที่เราจะเอาข้อมูลนั้นมาดู นำไปสู่การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ที่ไม่ว่าคนรวยหรือคนจนต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน   
    ขณะที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กว่า เปิดเอกสารตัวละครลับผู้พา รศ.ดร.สายประสิทธิ์ มาเจอ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์จนทำให้ความเห็นเรื่องความเร็วในคดีบอส อยู่วิทยา เปลี่ยนไป เมื่อวานนี้ (13 ส.ค.2563) ในห้องประชุม กมธ.กฎหมาย พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ได้กล่าวว่ามีผู้บังคับบัญชาระดับสูงนำตัว รศ.ดร.สายประสิทธิ์มาพบในห้องทำงานของผู้บังคับบัญชาระดับสูงของหน่วย และนำสมมติฐานของคดีว่าเป็นวิธีใหม่ที่คำนวณได้ และนำส่งเอกสาร 10 หน้า ที่ระบุความเร็วที่ 79.22 กม./ชม. ในขณะนั้นเจ้าตัวมีเวลาจำกัด และเกิดแรงกดดันจนทำให้มีการเปลี่ยนความเห็นเรื่องความเร็วต่อพนักงานสอบสวน     
    นายรังสิมันต์ระบุว่า ได้รับเอกสารชี้แจงลำดับเหตุการณ์กรณีคำนวณความเร็วรถนายวรยุทธจาก พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ (ยศในขณะนั้น) ซึ่งได้ระบุชื่อชัดเจนว่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงคนนั้นเป็นใคร โดยสรุป รศ.ดร.สายประสิทธิ์ถูกนำตัวมาพบกับสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ โดยอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ชื่อว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจในขณะนั้นคือ พล.ต.ท.มนู เมฆหมอก ให้ พ.ต.ท.ธนสิทธิ์พิจารณาสมมุติฐานของ รศ.ดร.สายประสิทธิ์ ซึ่งการสอบปากคำ พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ต่อพนักงานสอบสวนเป็นการให้ปากคำในทางวิชาการ แต่ไม่ถือว่าเป็นผลการตรวจพิสูจน์ เพราะยังไม่มีการยกเลิกรายงานการตรวจพิสูจน์เดิมของกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ดังนั้นในความเห็นของ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ เขายืนยันว่าไม่ได้กลับคำให้การในเรื่องการคำนวณความเร็วแต่อย่างใด  
    "ในฐานะของกรรมาธิการการกฎหมายฯ จะเสนอให้คณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนายตำรวจระดับสูงหลายคนตามเอกสารฉบับนี้มาชี้แจงต่อกรรมาธิการในการประชุมโอกาสต่อไป" นายรังสิมันต์ระบุ
    ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ที่มีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน เชิญนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด พร้อมด้วยนายอรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) และอดีตอัยการสูงสุด (อสส.) มาให้ข้อมูลข้อเท็จจริง
"อรรถพล-เนตร"เผชิญหน้า
    โดยนายอรรถพลกล่าวถึงการส่งหนังสือบันทึกข้อความให้ความเห็นทางคดีกับนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด  ว่า ได้คุยกันตลอด แต่ท่านขอไม่ให้ข่าว ก็เลยขอไม่เปิดเผยโดยมารยาท ส่วนกรณีการทำหนังสือถึงอัยการสูงสุด ประชาชนอาจจะเข้าใจว่าขัดแย้งจริงๆ ไม่มีขัดแย้ง คุยกันลงตัว เพียงแต่เราเป็นความเห็นเพิ่มเติมจากการได้เอกสารจากผู้หวังดีที่ตนได้รับในวันที่ 4 ส.ค.2563 หลังจากคณะทำงานอัยการแถลงชี้แจง ตนก็รีบทำหนังสือให้อัยการสูงสุดดูประเด็นนี้หรือไม่ จึงเสนอแนะให้ไปดู เป็นเอกสารที่ ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อดีตอัยการสูงสุด เคยมีความเห็นยุติการพิจารณาร้องขอความเป็นธรรมคดีนี้แล้ว และมีการพูดถึง ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม เลยทำหนังสือถามอัยการสูงสุดว่าได้ดูเอกสารนี้หรือไม่ ไปตรวจสอบดู
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านายอรรถพลเดินทางมาถึง นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ได้เดินทางมาถึงที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อน โดยมีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ได้ให้ สัมภาษณ์แต่อย่างใด
     ภายหลังการประชุม นายวิชาแถลงว่า นายอรรถพลได้ยืนยันในความคิดเห็นกรณีที่ได้รับเอกสารจากผู้หวังดีว่า ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อดีต อสส. เคยมีความเห็นยุติการพิจารณาร้องขอความเป็นธรรมคดีนี้แล้ว และเห็นว่านายเนตรได้หยิบยกเรื่องร้องขอความเป็นธรรมมาพิจารณาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ได้สั่งยุติเรื่องไปแล้ว และท่านเองเห็นว่าจะหยิบมาพิจารณาอีกไม่ได้ หรือจะหยิบมาพิจารณาได้ก็ต้องให้อัยการสูงสุดชุดปัจจุบันต้องรับทราบด้วย ซึ่งนายอรรถพลแจ้งว่าขอให้รอติดตามการพิจารณาของ ก.อ. ที่จะมีการประชุมในวันที่ 18 ส.ค.นี้  นายอรรถพลบอกด้วยว่า ได้แจ้งเรื่องนี้ให้นายวงศ์สกุลรับทราบแล้ว แต่นายวงศ์สกุลนิ่งเฉยไม่ตอบว่าจะเอาอย่างไร ในที่สุดจึงได้แต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบการใช้ดุลพินิจดังกล่าว ทั้
งนี้จะเชิญนายวงศ์สกุลมาชี้แจงกับคณะกรรมการฯ ภายในสัปดาห์หน้า
    นายวิชากล่าวว่า ขณะที่นายเนตรชี้แจงว่า ท่านไม่ได้ดูรายละเอียดสำนวนคดีนี้ตั้งแต่แรก และเป็นการสั่งตามที่ทนายความร้องขอความเป็นธรรม และสำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุดเป็นคนตั้งเรื่องส่งมาให้พิจารณาโดยบอกว่า ได้มาดูสำนวนจริงๆ ก็ภายหลังที่ตำรวจได้ดำเนินการสอบปากคำประกอบสำนวนมาให้แล้ว ดังนั้นนายเนตรยืนยันว่าสั่งคดีโดยถูกต้อง และไม่เห็นด้วยกับข้อสังเกตของนายอรรถพล พร้อมยืนยันว่าท่านทำถูกต้องทุกอย่างเพราะท่านสั่งโดยมีอำนาจ จะร้องขอความเป็นธรรมกี่ครั้งท่านก็เห็นว่าทำได้ตลอด หมายความว่าการสั่งนี้ไม่ถือเป็นการลบล้างคำสั่งของอดีตอัยการสูงสุดที่สั่งให้ยุติคดีไปแล้ว เพราะเป็นการสั่งเกี่ยวกับเรื่องร้องขอความเป็นธรรม ไม่เกี่ยวกับเรื่องสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องในสำนวน
    “ผมถามท่านเนตรว่าได้รายงานอัยการสูงสุดทราบหรือไม่ ท่านบอกว่าไม่จำเป็น และไม่จำเป็นต้องรายงาน เพราะท่านมีอำนาจโดยสมบูรณ์ นี่คือความเข้าใจของท่าน ส่วนจะเข้าใจถูกหรือผิด ผมไม่รู้ และเป็นเรื่องที่ประชุม ก.อ. จะพิจารณาในเรื่องนี้ต่อไป” นายวิชากล่าว
    นายวิชากล่าวด้วยว่า ในวันจันทร์ 17 ส.ค.นี้ คณะทำงานชุดตรวจสอบตำรวจ โดย พล.อ.กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม จะเชิญคณะทำงานของพล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผช.ผบ.ตร. มาให้ข้อมูล โดยในวันดังกล่าวจะเชิญ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น มาให้ข้อมูลด้วย ส่วนคณะทำงานชุดใหญ่จะประชุมกันอีกครั้งในวันอังคารที่ 18 ส.ค.นี้ เวลา 13.30 น. เช่นกัน
    "นายกรัฐมนตรีสั่งการให้คณะกรรมการฯ ตรวจสอบให้ถูกใจประชาชนที่สุด คือจะต้องเอาคดีนายวรยุทธไปถึงศาลให้ได้ นี่คือเป้าหมายจริงๆ ของเรา คดีต้องไม่ยุติอยู่แค่นี้ และจะต้องไปให้ถึงศาล เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนทั่วไปว่าความยุติธรรมยังคงอยู่" นายวิชากล่าว
ตร.บกพร่องกว่า20นาย
     ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีรายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงการใช้ดุลพินิจไม่แย้งคำสั่งพนักงานอัยการในคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ของ พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วย ผบ. ตร. ได้แถลงสรุปการตรวจสอบข้อเท็จจริงไปเมื่อวันที่ 13 ส.ค. และระบุว่า  พล.ต.ท.เพิ่มพูนไม่บกพร่องนั้น ต่อมาคณะกรรมการฯ ได้สรุปผลการสอบข้อเท็จจริง 3 ประเด็น มีรายละเอียดกว่า 1,400 หน้า ส่งให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.  พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
    รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้องในสำนวนคดีดังกล่าว และพบว่ามีข้อบกพร่อง มีจำนวน 20 นาย โดยยศสูงสุดเป็นระดับรอง ผบช. แบ่งเป็นตำรวจชุดเดิมที่รับผิดชอบสำนวนการสอบสวนก่อน ส่งให้พนักงานอัยการ จำนวน 11 นาย  และชุดหลังอีก 9 นาย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับสำนวนในชั้นอัยการที่มีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม และมี พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น รวมอยู่ด้วย ซึ่งคาดว่า ผบ.ตร.จะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 7 วัน จากนั้นจะมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อลงโทษทางวินัย หากพบความผิดทางอาญาก็จะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการ
    กรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เช่น รายงานการคำนวณความเร็วจากผู้เชี่ยวชาญมายืนยันความเร็วที่ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และผู้เชี่ยวชาญอื่นก็ยืนยันที่ความเร็ว 126 กิโลเมตรต่อชั่วโมงพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญแก่คดีที่สามารถพิสูจน์การกระทำความผิดของผู้ต้องหา เพื่อให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาตามกฎหมายได้ โดยวันนี้ ผบ.ตร.ได้ส่งพยานหลักฐานรายละเอียดข้อเท็จจริงไปยังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาดำเนินการตาม ป.วิอาญา มาตรา 147 ต่อไป และการดำเนินคดีกับนายวรยุทธในข้อหาเสพโคเคน ผบ.ตร.ก็ได้ส่งเรื่องให้ทางพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อดำเนินคดีในเรื่องนี้ต่อไป
    วันเดียวกัน นายพศิน อัคเดชธนโชติ หรือล้าน ลูกน้องคนสนิทของนายชูชัย เลิศพงศ์อดิศร อดีต ส.ว.เชียงใหม่ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ตามหมายเรียกในคดียักยอกทรัพย์ กรณีนำโทรศัพท์มือถือของนายจารุชาติ มาดทอง พยานปาก สำคัญคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ไปทุบทำลาย หลังจากนายจารุชาติเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนบนถนนห้วยแก้ว จ.เชียงใหม่ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้พิมพ์ลายนิ้วมือและสอบปากคำเบื้องต้น
    นายพศินให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา และไม่ขอชี้แจงรายละเอียดกับผู้สื่อข่าว อ้างแต่เพียงรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และพร้อมเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย รวมถึงยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้ครอบครัวของนายจารุชาติผ่านการประสานงานของตำรวจ แต่ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยกัน.
   


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"