ลูกแฝดบิ๊กตู่ฟ้องเกรียน แจงยิบ10ข้อไร้อภิสิทธิ์


เพิ่มเพื่อน    

 

“ธัญญา-นิฏฐา” ลูกฝาแฝด “บิ๊กตู่” สุดทนโซเชียลมีเดียป้ายสี มอบหมายทนายแจ้งความเอาผิดกราวรูด หวังเป็นตัวอย่างการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ต้องมีบรรทัดฐาน อย่าเอาการเมืองมาเล่นมั่วซั่ว พร้อมแจงความจริง 10 ประการลูกประยุทธ์ “ไมค์ ระยอง” เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ลั่นลุยกิจกรรมต่อ ลุ้นระทึกถอนประกันหรือไม่ 3 ก.ย.นี้

เมื่อวันพุธที่ 2 ก.ย. ที่ สน.นางเลิ้ง นายอภิวัฒน์ ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะทนายความประจำสำนักกฎหมาย อ.อัมพร ณ ตะกั่วทุ่ง และเพื่อน รับมอบอำนาจจาก น.ส.ธัญญา และ น.ส.นิฏฐา จันทร์โอชา สองบุตรสาวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ให้ดำเนินคดีต่อผู้ที่เผยแพร่ข้อความเท็จซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง โดยมี พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง ผบก.น.1 ร่วมสอบปากคำ
    โดยนายอภิวัฒน์กล่าวว่า ได้รับมอบอำนาจจากบุตรสาวทั้งสองของ พล.อ.ประยุทธ์ ให้มาแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคล นิติบุคคลและสื่อออนไลน์ต่างๆ โดยเฉพาะทวิตเตอร์ รวมกว่าหลักร้อยบัญชีที่ลงข้อมูลเท็จให้ร้ายเสียหาย และทำให้มีคนหลงเชื่อไม่ไตร่ตรองนำไปแชร์ต่อและแสดงความเห็นอย่างเสียหาย ถือเป็นการหมิ่นประมาทบุคคลที่สาม เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญาและพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ จึงต้องการให้ตำรวจตรวจสอบว่ามีใครที่ทำผิดบ้าง ส่วนกรณีมีนักการเมืองไปนำข้อมูลมาโพสต์แชร์ต่อด้วยนั้น ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนจะพิจารณาว่าเป็นตัวการร่วมหรือผู้สนับสนุนหรือไม่ ซึ่งลูกความทั้งสองยืนยันจะดำเนินคดีถึงที่สุด ไม่มีการยอมความ เพื่อเป็นบรรทัดฐานไม่ให้เกิดขึ้นอีก
    นายอภิวัฒน์กล่าวอีกว่า กรณีนี้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่ได้สั่งหรือกำชับอะไรมา โดยตนเองมาในนามส่วนตัว เพราะลูกความถูกใส่ร้ายเสียหาย แม้ว่าก่อนหน้านี้เคยมีการกล่าวหามาโดยตลอด ลูกความพยายามอดกลั้นไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ล่าสุดเป็นเรื่องร้ายแรง หาว่าทุจริตโกงเงินประเทศหลักหมื่นล้านบาท ซึ่งไม่มีมูลความจริง เป็นการให้ร้ายเสื่อมเสียกับวงศ์ตระกูล จึงได้ออกแถลงการณ์ชี้แจง 10 ประเด็น
    ทั้งนี้ 10 ประเด็นที่ชี้แจงประกอบด้วย 1.เปลี่ยนชื่อ และเปลี่ยนนามสกุลกลับเป็นของมารดาเพื่อหลบหนีคดีฟอกเงินของบิดา ยืนยันว่าไม่เคยเปลี่ยนชื่อและนามสกุล โดยใช้ชื่อเดิมตั้งแต่เกิดจนปัจจุบัน 2.ไม่ได้อยู่ประเทศไทย ยืนยันว่าทั้งคู่ใช้ชีวิตตามปกติอยู่ในไทย 3.เรียนอยู่ประเทศออสเตรเลีย ยืนยันว่าไม่เคยเรียนที่ประเทศออสเตรเลีย เคยไปเที่ยวครั้งเดียวเมื่อยังเด็ก 4.เรียนอยู่ต่างประเทศ ยืนยันว่าเรียนชั้นประถมและมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ด้วยเกรดเฉลี่ย 4.00 และ 3.96 จบปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับสองทั้งคู่ 5.สอบตกปริญญาโท ยืนยันว่าไม่เคยเรียนต่อปริญญาโท และไม่เคยสอบตก
ความจริงลูกประยุทธ์
6.พักอาศัยอยู่คฤหาสน์ที่ประเทศอังกฤษโดยมีเจ้าสัวซื้อให้ ยืนยันว่าไม่เคยพำนักในอังกฤษ หรือประเทศใดเป็นเวลานาน เคยไปเที่ยวอังกฤษครั้งล่าสุดปี 2558 โดยใช้วีซ่านักท่องเที่ยวเข้าพักตามโรงแรมปกติ 7.ซุกเงิน ฟอกเงินโดยบิดาโอนเงินเข้าบัญชีที่ต่างประเทศ ยืนยันว่าไม่มีบัญชีที่ต่างประเทศ มีเพียงที่ไทย และบิดาเคยโอนเงินให้เมื่อปี 2556 ซึ่งบิดาเคยแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งนายกฯ ปี 2557 เป็นเงินที่ได้จากการขายที่ดินของ พ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา ซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ ที่นำมาแบ่งกับลูกหลาน 9.ไม่มีภาพปรากฏในโลกออนไลน์ ยืนยันว่าทั้งคู่ไม่มีโซเชียลมีเดียใดๆ เพื่อนๆ ต่างรู้กันว่าไม่ขอออกสื่อเพื่อป้องกันการแอบอ้าง และ 10.ไม่เปิดเผยตัวตนเหมือนลูกนักการเมืองอื่นๆ เพราะไม่ต้องการได้รับอภิสิทธิ์หรือรับผลประโยชน์ใดที่เกี่ยวข้องกับบิดา หรือตกเป็นที่สนใจของสังคม หากมีใครแอบอ้างถึงพวกตนทั้งสองว่าสามารถช่วยเหลือวิ่งเต้นได้นั้น ยืนยันว่าเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น หากพบเบาะแสใดเกี่ยวกับการให้ร้ายพวกตน ส่งอีเมลมาที่ [email protected]
    พล.ต.ต.สำเริงกล่าวว่า ยังระบุไม่ได้ว่าต้องดำเนินคดีกับผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หลักร้อยคนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานว่ามีผู้ใดกระทำผิดบ้าง จากนี้อาจต้องตั้งคณะทำงานในระดับกองบังคับการ โดยอาจพิจารณาการทำงานกับหน่วยงานร่วม เพราะเป็นคดีที่น่าสนใจในหมู่ประชาชน แต่ยืนยันว่าไม่มีความกดดัน และยอมรับว่าเพิ่งทราบชื่อลูกสาวของ พล.อ.ประยุทธ์ทั้ง 2 คน เพราะเจ้าตัวไม่ค่อยออกสื่อ
    รายงานข่าวจากทำเนียบฯ แจ้งว่า ได้มีการเผยแพร่คำชี้แจงของ น.ส.ธัญญา และ น.ส.นิฏฐา จากข้อกล่าวหาในโซเชียลมีเดีย #ตามหาลูกประยุทธ์ ที่เป็นกระแสสังคมในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในช่วงท้าย น.ส.ธัญญาและ น.ส.นิฏฐาระบุว่า ต้องการใช้สิทธิทางกฎหมายโดยการฟ้องดำเนินคดีอย่างถึงที่สุดกับผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จ, ด่าทอให้ร้าย, กล่าวหา, คุกคาม และหมิ่นประมาททั้งหมด ทั้งผู้ที่โพสต์และแชร์ในทุกช่องทางโซเชียลมีเดียไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์, ยูทูบ รวมถึงสื่อหรือพื้นที่สาธารณะอื่นๆ โดยไม่มีการยอมความใดๆ ทั้งสิ้น
“ข้าพเจ้าทั้งสองประสงค์ให้กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่างและบรรทัดฐานของการใช้โซเชียลมีเดียในประเทศไทยว่า ผู้ใดก็ตาม ไม่มีสิทธิเผยแพร่ข้อมูลเท็จ, ด่าทอให้ร้าย, กล่าวหา, คุกคาม และหมิ่นประมาทผู้อื่น โดยปราศจากหลักฐาน และในขณะเดียวกันก็ไม่ควรมีผู้ใดตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จากการหลงเชื่อข้อมูลโดยขาดการไตร่ตรอง คิดวิเคราะห์แยกแยะ เพียงเพราะความอคติ และความเกลียดชังอีกต่อไป” ก่อนทิ้งท้ายด้วย
แฮชแท็ก #ความจริงลูกประยุทธ์ด้วย
    ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์เรื่องดังกล่าวระหว่างลงพื้นที่จังหวัดสุโขทัยว่า "ก็เรื่องของเขา ถือว่าเขาบรรลุนิติภาวะแล้ว เป็นสิทธิ์ของเขา จะปกป้องชื่อเสียงก็เป็นเรื่องของเขา ผมก็ฟังคนรุ่นใหม่"
“ไมค์”ยันทำกิจกรรมต่อ
    วันเดียวกันก็มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาชนปลดแอก โดยที่ สน.นางเลิ้ง นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง ประธานกลุ่มเยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย พร้อมนายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกพนักงานสอบสวน ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, ความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาด้วยเครื่องขยายเสียง กรณีการปราศรัยตอบโต้ พ.อ.หญิงนุสรา วรภัทราทร อดีตรองโฆษกกองทัพบก ที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก เมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่นายภาณุพงศ์ได้นำภาพของ พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก มาจุดไฟเผา
    นายภาณุพงศ์กล่าวว่า แม้ถูกออกหมายเรียกดำเนินคดี ยังคงยืนยันที่จะออกมาเรียกร้องเคลื่อนไหว แสดงกิจกรรมทางการเมืองเช่นเดิม เพราะถือเป็นสิทธิของประชาชน ซึ่งการเผารูปนี้เป็นการสาปส่งบุคคลเหล่านี้ให้ไปสู่ภพภูมิที่ดี
    ขณะที่นายนรเศรษฐ์กล่าวว่า การเข้าพบตำรวจของนายภาณุพงศ์เป็นการมาตามหมายเรียก เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ไม่ได้เตรียมหลักทรัพย์เพื่อขอประกัน และยืนยันปฏิเสธข้อกล่าวหา จึงไม่มีความกังวลเรื่องการถูกดำเนินคดี และคาดว่าจะได้รับการปล่อยตัว เนื่องจากการจัดกิจกรรมเป็นการทำตามสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ส่วนที่พนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอถอนประกันตัวนายอานนท์ นำภา และนายภาณุพงศ์จากคดีการร่วมปราศรัยกับกลุ่มผู้ชุมนุมเยาวชนปลดแอกเมื่อวันที่ 18 ก.ค.นั้น ศาลอาญาได้นัดไต่สวนในวันที่ 3 ก.ย. เวลา 09.00 น. ว่ากรณีนี้ผิดเงื่อนไขหรือไม่ และจะเพิกถอนประกันหรือไม่
ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้ชุมนุมกลุ่มรักษ์โตนสะตอยังคงปักหลักชุมนุมอยู่บริเวณหน้าประตู 1 เพื่อขอให้ชะลอการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำเหมืองตะกั่วเป็นวันที่ 3 โดยเวลาประมาณ 13.00 น. นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน ตัวแทนสหภาพนักเรียน นิสิต แห่งประเทศไทย และนายภาณุพงศ์ มาทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เผาพริกเผาเกลือขับไล่คนที่กัดกินประเทศไทย และกดขี่ประชาชน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ขณะเดียวกัน นายประเจือบ มลยงค์ กำนันตำบลหนองธง พร้อมด้วยประชาชน ต.หนองธง อ.ป่าบอน จ.พัทลุง ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ ผ่านนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้เร่งก่อสร้างอ่างเก็บน้ำเหมืองตะกั่วอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยทั้งสองกลุ่มไม่มีการเผชิญหน้ากันแต่อย่างใด
ด้านศาลรัฐธรรมนูญ ได้เผยแพร่เอกสารข่าวการประชุมปรึกษาพิจารณาคดี เรื่องพิจารณาที่ 16/2563 ที่นายสนธิญา สวัสดี ในฐานะผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 โดยกล่าวอ้างว่ากลุ่มผู้ชุมนุมนักเรียน นิสิต นักศึกษา และกลุ่มประชาชนเยาวชนปลดแอก (Free Youth) ในฐานะผู้ถูกร้องว่ากระทำการจัดการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 ก.ค.2563 และวันที่ 10 ส.ค.2563 โดยไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 และผู้ถูกร้องมีข้อเรียกร้องหลายประการ ซึ่งผู้ร้องเห็นว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 โดยผลการพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องยังไม่เพียงพอเพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาให้แสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณา ของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่
    ที่รัฐสภา  นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงร่างรัฐธรรมนูญของฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลที่มีความแตกต่างกัน ว่าน่าจะสะท้อนความยืดหยุ่นของปัญหาประเทศมากที่สุด ซึ่งสามารถพูดคุยกันได้ในวาระ 2 ทั้งนี้ ปัญหาที่อยากเสนอคืออยากให้เร่งรัดการแก้รัฐธรรมนูญเป็นไปได้หรือไม่ โดยเมื่อรับหลักวาระหนึ่งในวันที่ 24 ก.ย.แล้ว และเข้าสู่วาระสองขอให้พิจารณาไม่เกิน 2 สัปดาห์ ซึ่งสามารถทำได้ ถ้าจบได้ภายใน 2 สัปดาห์ เราขอให้รัฐบาลเปิดประชุมสมัยวิสามัญในเดือน ต.ค. เพื่อให้จบวาระสาม และเมื่อเปิดประชุมสภาฯ ในวันที่ 1 พ.ย. เราก็จะสามารถเข้าสู่กระบวนการทำประชามติ ซึ่งคิดว่าหนึ่งเดือนสามารถทำประชามติเสร็จ พอเดือน ธ.ค.ก็สามารถตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ได้
“ไทม์ไลน์ที่คุยกันไว้ไม่เกินความพยายามที่จะทำได้ ดังนั้นจะขอร้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะรัฐบาลได้ย่นย่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะหากยืดเรื่องนี้ มองไม่เห็นผลดีเลย แต่การทำให้เร็ว มีคุณภาพ ประชาชนมีส่วนร่วมจะแก้ปัญหาได้หลายอย่าง ประเทศก็จะเดินไปได้” นายสุทินกล่าว
    เมื่อถามว่า ก่อนที่จะเป็นไปตามไทม์ไลน์ ทางวิปรัฐบาลออกมาเปิดเผยสัญญาณ ส.ว.ไม่ค่อยดี นายสุทินกล่าวว่า เราจะรอจนสัญญาณดีก็ไม่ได้ เชื่อว่าเหตุผลและปัญหาที่เราพบ ส.ว.จะเห็นและร่วมหาทางออกให้ประเทศ จึงเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้ว ส.ว.คงเห็นแก่ประเทศ ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลทำงานร่วมกันได้แม้ความเห็นจะแตกต่าง แต่มีเป้าหมายเดียวกัน แต่ถ้าเป้าหมายคนละแบบก็ทำงานกันยาก
    ถามว่าร่างของฝ่ายรัฐบาลจะกลายเป็นร่างหลัก ฝ่ายค้านจะไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า ไม่มีปัญหา เพราะจะเอาของใครเป็นหลักก็ไม่ต่างกัน เพราะเนื้อหาคล้ายกัน ทั้งแก้มาตรา 256 และการตั้ง ส.ส.ร. ถ้าหลักใหญ่ตรงกันจะเอาร่างใดเป็นหลักก็ไม่ว่ากัน.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"