ปล่อยอานนท์-ไมค์ อนุชาโต้แอมเนสตี้


เพิ่มเพื่อน    

 ศาลสั่งปล่อยตัว “อานนท์-ไมค์” แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย หลัง สน.สำราญราษฎร์ยื่นคำร้องขอยกเลิกฝากขังเพราะสอบสวนมาพอสมควร “อนุชา” ยกคำชี้แจงกระทรวงการต่างประเทศกรณีแอมเนสตี้ บอกให้สิทธิเสรีชุมนุม แต่ต้องไม่ก้าวล่วงละเมิดกฎหมายไทย

    เมื่อวันจันทร์ ที่หน้าศาลอาญา สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ร่วมกับกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย (DRG) และกลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตย จัดกิจกรรมถามหาความยุติธรรมในกระบวนการที่ออกหมายจับนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่เวลา 15.00-17.00 น. ซึ่งก่อนการร่วมตัวกลุ่มความเคลื่อนไหว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก  (อผศ.) ประจำศาล นำโซ่มาคล้องกุญแจปิดบริเวณประตู 8-9 แล้ว ขณะที่ผู้ชุมนุมต่างเริ่มทยอยมา โดยยังไม่มีแกนนำ ด้านการดูแลความปลอดภัยมีตำรวจ สน.พหลโยธินจัดกำลังทั้งในและนอกเครื่องแบบประมาณ 40 นายมาคอยดูแลสถานการณ์ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังนำแผ่นประกาศข้อกำหนดศาลอาญาขนาดใหญ่มาวางตั้งไว้ โดยห้ามใช้เครื่องขยายเสียงหรือกระทำการใดให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าละเมิดอำนาจศาล
    ต่อมาเวลา 15.20 น. นายประเวศ ประภานุกูล ทนายความและอดีตผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ได้นำเครื่องเสียงมาตั้งอยู่หน้าศาล โดยมีมวลชนประมาณ 30 รายคอยชูป้ายเขียนข้อความให้ปล่อยตัวนายอานนท์ นำภา กับนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง สองแกนนำคณะประชาชนปลดแอกที่ถูกคุมขังเนื่องจากถูกถอนประกันตัว โดยมีผู้ชุมนุมบางส่วนถือภาพบุคคลทั้งสองพร้อมเรียกร้องให้ศาลอาญาปล่อยตัว
    นายประเวศกล่าวว่า ไปยื่นแจ้งการชุมนุมที่ สน.พหลโยธินเมื่อวันที่ 4 ก.ย. ก่อนได้รับแจ้งว่าผู้กำกับไม่อยู่เนื่องจากไม่ใช่เวลาราชการ จึงไม่ได้รับอนุญาตให้จัดการชุมนุม ทั้งที่การแจ้งชุมนุมมีข้อกำหนดให้แจ้งเจ้าหน้าที่ล่วงหน้าใน 24 ชั่วโมง ไม่ได้บอกให้แจ้งในเวลาราชการ ฉะนั้นถือว่าได้แจ้งจัดชุมนุมแล้ว แต่ สน.พหลโยธินไม่ยอมรับแจ้ง หากมีหมายเรียกคดีใดจะสู้คดีต่อไป
    ขณะที่ตัวแทนผู้ชุมนุมเยาวชนอ่านบทกวีของนายอานนท์ พร้อมพากันชู 3 นิ้ว ตะโกนให้ปล่อยบุคคลทั้งสอง ต่อมาเวลา 16.00 น.ฝนเริ่มตกลงมา ผู้ชุมนุมจึงได้ประกาศแยกย้าย
    กระทั่งเวลา 16.00 น.เศษ ศาลอาญาได้ออกเอกสารข่าว ระบุว่ากรณีเมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ศาลอาญานัดไต่สวนคดีที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์ ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวนายอานนท์ และนายภาณุพงศ์ ผู้ต้องหาทั้งสอง สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 ส.ค.63  ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาทั้งสอง และอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขห้ามกระทำการใดๆ ในลักษณะเดียวกับการกระทำที่ถูกกล่าวหาในคดีนั้นอีก ภายหลังจากศาลมีคำสั่งดังกล่าว นายอานนท์และนายภาณุพงศ์ได้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขของศาลที่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ทนายความผู้ต้องหาทั้งสองยื่นคำคัดค้านคำร้องของพนักงานสอบสวนดังกล่าว หลังจากนั้นศาลไต่สวนคำร้องของพนักงานสอบสวน ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวของนายอานนท์ ในส่วนของนายภาณุพงศ์ ศาลได้พิเคราะห์ถึงอายุ อาชีพ และพฤติการณ์แห่งการกระทำที่ถูกกล่าวหา  สมควรให้โอกาสแก่นายภาณุพงศ์ โดยได้กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมให้มีประกันในวงเงินเพิ่มเป็น 2 แสนบาท โดยไม่ต้องมีหลักประกัน และให้นายภาณุพงศ์มารายงานตัวทุก 15 วัน ซึ่งต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองไม่ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวเข้ามาใหม่ ศาลจึงให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวและรับตัวไว้ตามหมายขัง
ปล่อย 'อานนท์-ไมค์'
    ต่อมาในวันที่ 7 ก.ย. พนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ยื่นคำร้องขอให้ยกเลิกการฝากขังนายอานนท์และนายภาณุพงศ์ โดยระบุเหตุผลในคำร้องว่าได้ทำการสอบสวนมาพอสมควรแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องขังผู้ต้องหาทั้งสองระหว่างสอบสวนอีกต่อไป ศาลพิจารณาแล้วให้หมายปล่อยผู้ต้องหาทั้งสอง โดยแจ้งเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครทราบแล้ว
    ขณะเดียวกันที่ จ.ขอนแก่น นายชัชวาล อภิรักษ์มั่นคง แกนนำแนวร่วมประชาชนอีสานเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า ในวันที่ 10 ก.ย. เวลา 09.00 น. แกนนำกลุ่มขอนแก่นพอกันที รวมทั้งแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมที่ได้รับหมายเรียกจาก สภ.เมืองขอนแก่น ให้ไปรายงานตัวและเข้าพบพนักงานสอบสวน  สภ.เมืองขอนแก่น ซึ่งมีทั้งหมด 4 ราย นำโดยนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดินนั้น จะเข้ารายงานตัวและเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก เพื่อต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายของประเทศไทยตามวันและเวลาดังกล่าว
    “เมื่อทั้ง 4 คนเข้าพบพนักงานสอบสวนตามขั้นตอน เรื่องการประกันตัวหรือการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย ขณะนี้มี ส.ส.พรรคก้าวไกล 2 คนพร้อมใช้ตำแหน่งประกันตัวทั้ง 4 คน แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายชื่อว่าเป็นท่านใด โดยจะมีแกนนำจากคณะก้าวหน้ามาสังเกตการณ์และเตรียมให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่ทั้ง 4 แกนนำของกลุ่มขอนแก่นพอกันทีเช่นกันด้วย” นายชัชวาลกล่าว
ด้านนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกข้อกล่าวหาผู้ชุมนุมอันเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยได้เชิญชวนสมาชิกและผู้สนับสนุนกว่า 8 ล้านคนทั่วโลกส่งจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้ยกเลิกการตั้งข้อกล่าวหาต่อแกนนำ 31 คน  และขอให้ยุติการขัดขวางการร่วมชุมนุมของประชาชน โดยจะรณรงค์ไปถึงวันที่ 21 ต.ค.ว่า กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้ชี้แจงแอมเนสตี้ไปว่า 1.รัฐบาลมิได้ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกรวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และอนุญาตให้มีการชุมนุมของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนหลายครั้งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งการใช้สิทธิและเสรีภาพต้องดำเนินการภายใต้กฎหมายและต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นด้วย
    2.รัฐบาลสนับสนุนการใช้เสรีภาพในการแสดงออกที่สร้างสรรค์ ไม่ก้าวร้าวหรือมีลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือใช้คำพูดที่สร้างความเกลียดชังอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ โดยเคารพมุมมองของผู้ที่เห็นต่าง และ 3.เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยใช้ความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ สำหรับกรณีการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมบางรายนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ละเมิดกฎหมาย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด และผู้ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ชุมนุมที่ถูกดำเนินคดีจะได้รับการเคารพอย่างเต็มที่ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆ ที่ไทยเป็นภาคี
    ขณะที่ ?น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงผลสำรวจซูเปอร์โพลที่ระบุว่าส่วนใหญ่ผู้อยู่นอกประเทศหรือต่างชาติเป็นผู้ปั่นกระแสต่างๆ ว่า อดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่า ในกิจกรรมที่ผ่านมาของพวกที่ใช้สร้างกระแสนั้น อาจอาศัยเสียงในโซเชียลจากต่างชาติเข้ามาบิดเบือนสร้างความชอบธรรม รองรับในการดำเนินการทางการเมืองต่างๆ ด้วยหรือไม่ ทำให้สังคมโดยเฉพาะน้องๆ เยาวชนอาจเข้าใจไขว้เขว หรืออาจได้รับข้อมูลจากกระแสปลอมๆ ไปด้วย ซึ่งผลการศึกษาที่ออกมาจะทำให้ประชาชนทั้งในและนอกโซเชียลไทยตาสว่างมากขึ้น ไม่ตกเป็นทาสความคิดที่ปลุกระดม และอาจมีความพยายามใช้ต่างชาติปั่นกระแสให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกภายในประเทศก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงก็อยากฝากถึงนายกฯ โซเชียลว่าอย่าทำร้ายประเทศไทยเลย ประเทศไทยกำลังมีมหาวิกฤติรอบด้าน เรื่องเร่งด่วนมากกว่าเรื่องอื่นๆ คือมาร่วมมือกันฟื้นตัวเศรษฐกิจ
น้องวิษณุเตือนสติ
    ส่วน พล.อ.ต.นพ.เฉลิมชัย เครืองาม สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) น้องชายของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวถึงการนัดชุมนุมใหญ่ที่ ม.ธรรมศาสตร์ในวันที่ 19 ก.ย.นี้ว่า กระแสเวลานี้โดยเฉพาะทางออนไลน์มีแน่นอน ซึ่งมีทั้งม็อบจริงและม็อบจัดตั้ง เพราะเขาก็มีมวลชนของเขาเหมือนกัน โดย ส.ว.ต้องทำใจให้เป็นกลางและมีสติในการตัดสินใจ "หากจะเอาเรื่องม็อบที่จะชุมนุม 19 ก.ย.มาสร้างแรงกดดัน  ถามว่าห่วงไหมก็ต้องบอกว่าก็น่าห่วง เพราะเป็นการชุมนุมที่มีเงื่อนไข ข้อเรียกร้องที่ไม่ได้เรียกร้องเฉยๆ แต่เป็นข้อเรียกร้องที่มีเงื่อนไข ซึ่งการตั้งเงื่อนไขมันนำมาซึ่งความกดดันแน่นอนกับฝ่ายที่ถูกกดดัน แต่ถามว่า ส.ว.ถูกกดดันไหม ตนเองไม่กดดัน เพราะเรื่องไหนที่ทำแล้วเกิดประโยชน์กับประเทศชาติ ทำให้เกิดความสงบ ถึงแม้ไม่มีการชุมนุมมากดดันก็จะพิจารณาในแนวทางที่เป็นประโยชน์ แต่ขอร้องว่าการชุมนุมนั้นอย่ามาก้าวล่วงในสิ่งที่คนไทยไม่ปรารถนา คืออย่ามาก้าวล่วงสถาบัน และอย่าเปิดประเด็นที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง และทำให้อีกฝ่ายหนึ่งออกมาชุมนุมต่อต้าน
“หากชุมนุมเป็นไปโดยสงบก็ไม่ขัดข้อง แต่หากจะมาบอกว่าวันชุมนุมวันนั้นแล้วคนมาเป็นแสน จะมายึดสนามหลวง หรือจะชุมนุมยืดเยื้อ ทั้งที่บ้านเมืองกำลังมีภาวะวิกฤติเศรษฐกิจและเรื่องโควิด ถามว่ามันเหมาะสมไหม ผมว่าเรื่องนี้ประชาชนมีคำตอบให้กับการมาชุมนุมในยามที่บ้านเมืองต้องการความสามัคคี" พล.อ.ต.นพ.เฉลิมชัยกล่าว
    ส่วนนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ โฆษกพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กถึงกระแสข่าวการรัฐประหารว่า "ประเทศไทยมีความแน่นอนอยู่หนึ่งอย่าง เมื่อใดที่ประชาชนทนไม่ไหว ข่าวการรัฐประหารมักถูกปล่อยออกมาเสมอ แต่ความแตกต่างของกระแสข่าวรัฐประหารช่วงนี้กับในอดีตที่ผ่านมา คือไม่มีใครรู้สึกหวาดกลัวต่ออำนาจปลายกระบอกปืนอีกต่อไป ซึ่งขอเรียกสัญญาณนี้ว่า สัญญาณแห่งความจนมุม สัญญาณของคนขี้ขลาดตาขาว  
    ครั้งนี้หากมีการรัฐประหารเกิดขึ้น สิ่งที่กองทัพจะได้เรียนรู้คือ การหันกระบอกปืนเข้าหาตัวเอง ตายแบบไม่มีวันฟื้น วันนี้ประชาชนได้เรียนรู้แล้วว่าอำนาจที่ท่านใช้จัดการกับประเทศนี้ อำนาจที่ท่านใช้จัดการกับประชาชนมาตลอด คืออำนาจแห่งความกลัวของพวกท่านเอง สิ่งที่ผมต้องการสื่อสารไปยังผู้มีอำนาจคือ จะทำอะไรดูทิศทางลมสักนิด วันนี้ลมเปลี่ยนทิศและพัดให้ประชาชนตื่นกันหมดแล้ว พวกเขาไปไกลเกินกว่าจะปิดหูปิดตาอีกต่อไป" นายณัฐชากล่าวและว่า "หากมีการยึดอำนาจเกิดขึ้น เชื่อเหลือเกินว่าสิ่งที่ท่านไม่เคยได้เห็นก็จะได้เห็น ละครเรื่องเดิมที่เคยดูว่าตลอด 88 ปี วันนี้จะไม่จบแบบเดิมอีกต่อไป".
    
    

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"