เอ้า...เฮ แก้รัฐธรรมนูญกัน!


เพิ่มเพื่อน    

 

 

       โอ้โห........

            แก้รัฐธรรมนูญ เฉพาะทำประชามติ กกต.เคาะแล้ว ต้องใช้งบกว่า ๔,๐๐๐ ล้านบาท

                ยังไม่เกี่ยว เบี้ยเลี้ยง เงินเดือน พวก ส.ส.ร. และค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่าย พนักงาน-เจ้าหน้าที่

                ขั้นปฐม ก็เฉียด ๒ ปี

                ขั้นมัธยม ก็ ๒ ปีขึ้น

                ขั้นอุดม ก็ ๓ ปีขึ้นไป

                เบ็ดเสร็จ กว่ารัฐธรรมนูญ ฉบับ "สำเร็จความใคร่ ส.ส." จะสำเร็จกิจ ต้องใช้เงินไม่หนี ๑๐,๐๐๐-๑๕,๐๐๐ ล้านบาท!

                แล้วจะเอาเงินจำนวนนี้มาจากไหน?

                ก็จาก "ภาษีประชาชน" นั่นแหละ รัฐบาลจะต้องตัดจากงบพัฒนาประเทศ ไปพัฒนากระสัน ส.ส. ที่ตัวซี้-ตัวสั่น อยากแก้รัฐธรรมนูญ

                เทรนด์กำลังมา ไม่แก้ ก็ไม่โก้

                ส.ว.ส่วนหนึ่ง ทั้งที่กฐินยังไม่ถึงคิวทอดวัดตัวเอง กลัวตกกระแส "หอมกลิ่นตีนเด็ก"

                จากผู้มีวุฒิภาวะ ออกอาการหิวนม... แก้ด้วย..แก้ด้วย!

                แก้แล้วประชาชนจะได้อะไร?

                ได้โจราประชาธิปไตยในคราบ ส.ส.ส่วนหนึ่ง เข้ามากินบ้าน-โกงเมืองง่ายขึ้น

                เพราะมาตราต่างๆ ในรัฐธรรมนูญที่เป็นด่านกั้่นไว้ ถูกรื้อทิ้ง-เขียนใหม่ "เปิดทางโจร" เรียบร้อยแล้วน่ะซี!

                ถ้าเป็นอย่างนี้ แก้ทำไม?

                พวก ส.ส.อ้างว่า แก้แล้วจะเป็นประชาธิปไตย เศรษฐกิจจะดีขึ้น ประชาชนจะหายอดอยาก-ยากจน โควิด-๑๙ ก็จะไม่มี ประเทศชาติก็จะได้รับการพัฒนาก้าวหน้าขึ้น

                อ้าว.....

                แล้วตอนนี้ เพียง ๕-๖ ปี ประเทศไทยมีรถไฟใต้ดิน-บนดินเป็นสิบสายในกรุง ในต่างจังหวัด หลายจังหวัด เริ่มสร้าง

                มีรถไฟรางคู่ มีสถานีกลางบางซื่อศูนย์กลางรถไฟฟ้าเชื่อมต่อภูมิภาค มีมอเตอร์เวย์เหนือ-ใต้-ออก-ตก มีสนามบิน มีรถไฟฟ้าเชื่อม ๓ สนามบิน มีอีอีซี ฯลฯ

                คนยาก-คนจน คนเฒ่าคนแก่ มีเงินกินรายเดือน เจ็บป่วยรักษาฟรี ไม่นับการสะสางปัญหาที่แต่ละรัฐบาลหมกคาชาติที่ลุล่วงไปอีกหลายปัญหา

                ยังไม่นับการรับมือโควิด-๑๙ จนโลกยกไทยมาตรฐานปลอดภัยอันดับ ๑ ของโลก และยังไม่นับ ไทยติดอันดับ ๑ ประเทศน่าลงทุนที่สุด

                แล้วอย่างนี้ ไม่เรียกว่า เมื่อพลเอกประยุทธ์เข้ามาบริหารประเทศ แค่ ๕-๖ ปี สังคมชาติได้รับการพัฒนา มีความก้าวหน้าเป็นรายเดือน-รายปี จับต้องได้ ชนิดไม่เคยมีรัฐบาลไหนๆ ทำได้มาก่อนหรือ?         

                ไม่รู้....กูไม่สน......

                เพราะประยุทธ์ไม่โกงเอามาแบ่งกัน เพราะไม่ยกชาติให้จักรวรรดิอำนาจตะวันตกครอบ เพราะไม่ซูฮกนักวิชาการร่านเมือง เพราะไม่เลี้ยงเอ็นจีโอ เพราะไม่ยอมอยู่ใต้บารมีทักษิณ

                ดังนั้น ประยุทธ์จึงเป็นเผด็จการ

                ประเทศไทยต้อง "รัฐบาลระบอบทักษิณ" ครองเมืองเท่านั้น ถึงจะเป็นประชาธิปไตย

                ใครบอก...ก็ไอ้กันมันบอก

                เพราะแบบนั้่น...กูสั่งได้!

                เมื่อเป็นอย่างนี้ จะต้องรีบแก้รัฐธรรมนูญไปเพื่ออะไร ไม่ใช่ว่าไม่แก้ แต่หมายความว่า มาตราไหนที่้บกพร่อง ไม่เข้าท่า มันก็มี ก็ค่อยแก้กัน

                ไม่สำคัญเร่งด่วนถึงขั้นคอขาดบาดตายชนิดที่ ต้องรีบตั้ง ส.ส.ร. "เขียนใหม่ทั้่งฉบับ" อย่างที่เหี้่ยนกระหือรือกันตอนนี้

                เปลืองเงิน-เปลืองทองเปล่าๆ มีแล้ว เดี๋ยวก็ฉีกอีก ฉีกกันมากี่รอบ เขียนใหม่มากี่ฉบับ แล้วประชาชนเคยได้อะไร?        มีแต่นักเลือกตั้งเท่านั้น...ที่ได้!

                นี่เหมือนกัน อ้างประชาชน, อ้างพัฒนา, อ้างประชาธิปไตยในการแก้ แล้วแก้อะไร-ตรงไหน?

                อ้าปากก็เห็นหางจิ้งจอกโผล่ เริ่มต้น ก็แก้มาตรา ๒๗๒ "การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี"

                โถ....เวร!

                ไอ้มาตรา ๒๗๒ มันเป็น "บทเฉพาะกาล" ไม่ต้องตาหู-ตาแหก ถึงขั้นพรรคประชาธิปัตย์ อายุร่วมร้อยปี ต้องไปเล่นการเมืองแบบเด็กอนุบาลหรอก

                คือพรรคยื่น "ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ" ในนาม "พรรคร่วมรัฐบาล" ประกับกับร่างฯ ของเพื่อไทย "ฝ่ายค้าน" ไปแล้ว

                แต่เทวดาประชาธิปัตย์ ส่วนหนึ่งยังแยกวงไปเป็นสาวกพรรควานซืนอย่าง "ก้าวไกล" ที่สนับสนุนขบวนการล่มชาติ-ล่มสถาบัน

                ไปยื่นอีกร่าง ขอแก้เฉพาะมาตรา ๒๗๒ ก่อนเลย!

                คือแสดงเจตจำนงปิดเส้นทางประยุทธ์ที่จะกลับเข้ามาเป็นนายกฯ อีก ด้วยการ "ปิดสวิตช์ ส.ว." ไม่ให้มีส่วนในการยกมือสนับสนุนการโหวตก่อนเลย

                มาตรา ๒๗๒ มันเป็นบทเฉพาะกาล มีอายุ ๕ ปี แก้-ไม่แก้ ถึงเวลามันก็ตายไปเองอยู่แล้ว จะเร่าร้อนโชว์ความสะเหล่อทำไม?

                ๕ ปี มันคาบเกี่ยวไปถึงคนจะขึ้นเป็นนายกฯ ในรัฐบาลสมัยเลือกตั้งต่อไปอย่างนั้นหรือ?

                คิดกันแบบขี้ขลาด-ตาขาว สมมุติพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ ครบเทอม แล้วเลือกตั้งใหม่ ปีไหนล่ะ ก็ราวๆ ๒๕๖๖

                ถ้าพลเอกประยุทธ์อยู่เป็นนายกฯ รวดเดียวถึงปี ๖๖ ต่อให้เพื่อไทย-ก้าวไกล เอาไอ้กัน-เอาทักษิณที่เป็นพ่อมาอีกคน

                ก็ไม่ทางชนะพลเอกประยุทธ์!

                เพราะถ้ารวดเดียวยาวขนาดนั้น แสดงว่า ประชาชนกับพลเอกประยุทธ์ "รวมเนื้อ-รวมใจ" เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว

                ที่ก้าวไกล-เพื่อไทยหวังคะแนนคนรุ่นใหม่ส่งตูดขึ้่นฝั่งฝัน "ประชาธิปไตยโจร" นั้น เมินซะเถอะ

                ฉะนั้น ด้วยตรรกะประชาธิปไตยเลือกตั้ง ใคร-ฝ่ายไหนเป็นนายกฯ ได้ครองอำนาจบริหารประเทศ เสียง ส.ว.ไม่ใช่เสียงตัดสิน

                เสียงประชาชนเป็น "เสียงตัดสิน"!

                สมมุติ ก้าวหน้าหรือเพื่อไทย ชนะขาด รวมเสียง ส.ส.สนับสนุนเป็นนายกฯ มากเป็นอันดับ ๑ และจัดตั้งรัฐบาล

                ในการประชุมโหวตนายกฯ ถ้า ส.ว.เห็นว่า ไม่ใช่ฝ่ายพวกตน ไม่โหวตให้พรรค ๓๐๐-๔๐๐ เสียง แต่ไปโหวตให้พรรค ๑๐๐-๒๐๐ เสียง ที่เป็นพวกตน

                แบบนี้ ถูกรัฐธรรมนูญ

                แต่ก็ "ถูกตีน" ชาวบ้านด้วย!

                กฎหมายเนี่ยใช้โดดๆ ไม่ได้ มันต้องใช้ควบคู่กับสามัญสำนึก "ด้วยชอบ-กอปรด้วยธรรม" ด้วย ไม่งั้นมนุษย์จะต่างกับสัตว์ตรงไหน?

                อีกอย่าง ด้วยวรรณะหิริ-โอตตัปปะของชนชั้่น ส.ส. ไม่ควรต้องส่งสัญญาณรังเกียจพลเอกประยุทธ์ออกนอกหน้า ถึงขั้นแก้ ๒๗๒ ฉับพลันจนเสียกิริยา

                เพราะถ้าได้แก้กันจริงๆ ตามร่างพรรคร่วม, พรรคค้าน ที่ยื่นเข้าพิจารณาในสภา ยังไงๆ ตามรายมาตรา มันก็ต้องแก้มาตรานี้วันยังค่ำ

                ในความเห็นผม รัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีจุดต้องแก้มั้ย?

                มี ๑๐๐%

                โดยเฉพาะหมวดรัฐสภา หมวดคณะรัฐมนตรี ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.การได้มาซึ่ง ส.ว. การเข้ามาเป็นนักการเมืองรวมถึงมาตรา ๒๗๒ ที่ให้ ส.ว.มีสิทธิ์โหวตเลือกนายกฯ นี้ด้วย

                ในส่วน "สภาผู้แทนราษฎร" ด้วยแล้ว เห็นชัดว่า วิธีการต่างๆ มันเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ ทั้งก่อปัญหามากกว่าแก้ปัญหา

                ยิ่งระบบ "คะแนนไม่ตกน้ำ" ได้หมดสดชื่น จนเกิดพรรคจิ๋ว พรรคกระจิ๋วหลิว ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

                เมื่อกติกาเหล่านั้่น อย่างระบบสัดส่วน ใช้แล้วไม่เวิร์ก ก็ควรต้องแก้ไข

                แต่........

                มันไม่จำเป็นเร่งด่วน ถึงขั้น ต้องเดี๋ยวนี้..ต้องตั้ง ส.ส.ร.ด้วยวุฒิภาวะ ส.ส.-ส.ว. ถ้าจริงใจต่อปัญหา ยกใจเหนือมายาซ่อนเร้น

                สามารถปรึกษาหารือร่วมกัน แล้วใช้รัฐสภาที่เป็นอยู่นี่แหละค่อยแก้กันตามมาตราที่เห็นปัญหาแล้วว่าควรต้องแก้

                มันจะเร็วกว่าด้วย นอกจากไม่แตกแยกแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึง "วุฒิภาวะบุคคลในสถาบันนิติบัญญัติ"

                ว่าสมัครสมานสามัคคี มีการกระทำเกื้อกูลสังคมชาติ มุ่งประโยชน์ประเทศชาติ-ประชาชนอันเป็นส่วนรวม สมกับสถานะ ๑ ใน ๓ สถาบันแกนชาติ

                แต่ที่ทำกันตอนนี้ ทั้งไม่เกื้อกูล ทั้งไม่มุ่งประโยชน์ชาติ-ประชาชน มุ่งเฉพาะประโยชน์และผลได้ของคนอาชีพเลือกตั้งโดยตรง

                ซื้อเรือดำน้ำ คงทนถาวร ๒๐-๕๐ ปี เพื่อประโยชน์ประชาชน เพื่อพิทักษ์ชาติบ้านเมือง

                เพื่อปกป้องรักษาทรัพยากรในน้ำ-บนบกให้ลูกหลานของเรามีแผ่นดินเอกราชได้ยืดอกแทนแอก

                และเพื่อพัฒนาศักยภาพทรัพยากรบุคคลในกองทัพให้รู้ทันเทคโนโลยีตามยุคสมัย

                แค่ ๓,๐๐๐ กว่าล้านบาท ในการผ่อนจ่ายซื้อเรือดำน้ำ ส.ส.และกลุ่มบุคคลกลับโวยวายว่าไม่จำเป็น ชาวบ้านกำลังอดอยาก เอาเงินส่วนนั้นไปช่วยชาวบ้านดีกว่า

                แต่ ๔,๐๐๐ ล้าน เฉพาะทำประชามติ

                อีกเป็นหมื่นล้าน เพื่อตั้่ง ส.ส.ร.เขียนรัฐธรรมนูญสนองตัณหา ส.ส.

                เงียบกริบ!

                ไม่มี ส.ส.-ส.ว. หรือกลุ่มบุคคลไหน ออกมาบอกเลยว่า แก้รัฐธรรมนูญ ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ความมั่นคงประเทศจำเป็นเร่งด่วนกว่า

                ควรเอาเงิน ๑๐,๐๐๐-๑๕,๐๐๐ ล้านบาทนี้ ไปช่วยชาวบ้านที่กำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจจากภัยโควิด

                หรือควรเอาไปซื้อเรือดำน้ำเพิ่มอีก ๒ ลำ รวมเป็น ๕ ลำ เพื่อนำมาใช้ปกป้องน่านน้ำไทยและทรัพยากรทางทะเล ให้สอดคล้องกับความเป็นไปในสถานการณ์โลก-สถานการณ์ภูมิภาคขณะนี้เลย?

                ครับ.....

                อยากแก้ ก็แก้กันไป แต่บอกคำเดียว "เรือล่มเมื่อจอด-ตาบอดเมื่อแก่" มันจะเป็นอย่างนั้่น.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"