'จตุพร' เรียกร้องอีกครั้ง ถ้าไปไม่ไหว 'ยุบสภา' ดีกว่า


เพิ่มเพื่อน    

25 ก.ย.63  - นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊กไลฟ์ peace talk ว่า การตั้ง กมธ.ศึกษาการลงมตินั้น ตนยังไม่เคยเห็น เพราะคนที่เป็น สส.-สว. มีวุฒิภาวะในการออกกฎหมาย กลับมาบอกว่า ไม่เข้าใจในร่าง แก้ รธน.ทั้ง 6 ร่างนั้น เป็นเรื่องรับฟังไม่ได้ นอกจากยื้อเวลา แล้วสร้างความชิงชัง ความเกลียดชัง ให้เป็นแรงกระเพื่อมทางการเมืองโดยไม่มีความจำเป็น

การยื้อแก้ รธน.ออกไป 1 เดือน เป็นช่วงปิดสมัยประชุม แต่การเปิดสภาสมัยวิสามัญนั้นสมาชิกสองสภารวมกันจำนวนหนึ่งในสาม หรือ 250 เสียงสามารถยื่นคำร้องให้เปิดสมัยประชุมวิสามัญได้ และถ้าพิจารณาจำนวนสมาชิกไม่เห็นชอบกับการตั้ง กมธ.แล้วมี 255 เสียง ดังนั้นจึงเป็นจำนวนเกินกว่าการยื่นเปิดประชุมสมัยวิสามัญได้แล้ว

นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองอยู่ในช่วงที่ร้อน เพราะประชาชนเชื่อว่า รธน.เป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาชาติ เมื่อเสนอให้ตั้ง กมธ.เท่ากับเป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟ ดังนั้น ตนจึงเรียกร้องไปยังพรรคการเมืองที่ไม่เห็นชอบกับการตั้ง กมธ.ศึกษาการลงมติจำนวน 255 เสียงควรยื่นเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ

อีกอย่างนั้น การประชุมสองสภามีมติตั้ง กมธ.นั้น คงไม่มีใบสั่งจากผู้มีอำนาจ แต่เป็นเพราะทัศนคติของ สว.ที่ห่วงในอำนาจจึงออกมติมาถ่วงเวลาเช่นนี้ หากมีใบสั่งแล้ว จะออกมาแบบให้ลงมติผ่านร่างใดร่างหนึ่งหรือทั้งหมด หรือไม่ให้ผ่านเลยสักร่างแก้ รธน.ก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้สมาชิกรัฐสภาชุดนี้ศึกษาบทเรียนในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 เพราะชนวนสำคัญทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นนั้นคือ การรับปากว่าจะแก้ รธน.ให้นายกรัฐมนตรีมาจากเลือกตั้ง แต่ถูกเบี้ยวประชาชนจึงมาชุมนุมเต็มท้องสนามหลวง

"คนไทยเสียอะไรก็เสียได้ยกเว้นเสียรู้ เขารับไม่ได้ เทียบกับกรณีการอภิปรายเมื่อ 24 ก.ย.นั้น เพื่อรอการลงมติแก้ รธน. แต่กลับเหมือนการถูกหลอก เพราะไม่มีการลงมติ แต่ถูกยื้อให้ตั้ง กมธ.เพื่อศึกษาการลงมติร่างแก้ รธน.ทั้ง 6 ฉบับ”

นายจตุพร เชื่อว่า ในสถานการณ์ข้างหน้า เมื่อนัดชุมนุมกันขึ้นมาอีกครั้ง โดยเน้นเฉพาะการแก้ รธน.หรือเรียกร้องยุสภา หรือรัฐบาลลาออกแล้ว คนจะตอบรับอย่างมืดฟ้ามัวดิน และคงไม่มีใครเอาสถานการณ์เช่นนั้นอยู่ได้

วันนี้ถ้าสมาชิกรัฐสภาไม่รู้ร้อนรู้หนาว และไม่พยายามแก้ปัญหา แต่กลับคิดว่าไม่มีสภาเพราะปิดสมัยประชุมแล้วจะไร้ปัญหา ตนว่าคิดผิดหมด เพราะคนปลุกฝูงชนขึ้นมาต่อสู้คือ กลไกของสภาเอง อีกทั้งยังโยงปัญหาไปถึงรัฐบาลอีกด้วยว่า นโยบายแก้ รธน.ที่แถลงต่อรัฐสภา แต่รัฐสภากลับไม่เห็นชอบการแก้ รธน. ดังนั้น รัฐบาลสมควรจะอยู่ต่อไปหรือไม่

นอกจากนี้ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์จะว่าอย่างไงกับการเปิดสภาสมัยวิสามัญ ส่วนภูมิใจไทยสนับสนุนการเลือกตั้ง สสร. เต็มที่ เมื่อท่าทีเป็นแบบนี้ก็ลงชื่อเปิดประชุมวิสามัญเลย สถานการณ์แบบนี้ในเดือนเดียวยิ่งเป็นปัญหามากขึ้น ดังนั้น การเข้าชื่อเพื่อเปิดสมัยประชุมควรเริ่มต้นได้แล้ว

นอกจากนี้ พรรคฝ่ายค้านออกมาขอโทษประชาชนนั้น สมควรทำอะไรให้เป็นรูปธรรม โดยยืนยันให้เปิดสมัยวิสามัญ และอยากรู้เช่นกันว่าเสียง 255 คนนั้น ใครและพรรคไหนจะเบี้ยวอีก

"ลึกๆของผมแล้ว ยังเชื่อว่า ไม่ได้แก้ รธน. แล้วไม่ได้อยู่ด้วย พังราบเป็นหน้ากองไปหมด เพราะเรื่องราวของไทยนั้น เวลาที่ดึงฟืนออกมาได้ แต่กลับหลงตัวเองกัน ผมเชื่อว่า เวลานั้นถ้าพรรครัฐบาลไม่หลงตัวเองก็ไม่เกิดพฤษภาทมิฬ วันนี้เช่นกัน ถ้าไม่หลงตัวเอง ไม่ฟังประชาชน ถ้าฟังประชาชนต้องการให้มี สสร. นั้น เป็นการเคารพประชาชน”

นายจตุพร ย้ำว่า ถ้าบ้านเมืองไปกันไม่ไหวจริงๆแล้ว ก็ยุบสภาให้ประชาชนดีกว่า ถ้ายังดื้อดึงไม่เชื่อฟังประชาชนแล้ว ท้ายที่สุดประชาชนจะจัดการเองในสนามเลือกตั้งครั้งต่อไป

อีกทั้ง กล่าวถึงคำว่า เกือบจบคือ ถ้าไม่แก้ไขอะไรเลย ไม่พยายามทำอะไร และอยู่แบบหลงตัวเอง ไม่เคารพประชาชน ละเลยความรู้สึก ความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชน ทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าเสียรู้ ถูกหลอกท้ายที่สุด ประชาชนจะเอาคืนอย่างสาสมเจ็บปวดมากที่สุด ดังนั้น การเปิดสมัยวิสามัญจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะไม่เช่นนั้นสถานการณ์จะเลวร้ายมากไปกว่านี้


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"