ความปรองดองและการย่อย-แยก-แตกกระจาย


เพิ่มเพื่อน    

ไม่รู้ว่า น้องเกี่ยวก้อย ที่ถูกนำไปรีแพร์ ประแป้ง แต่งหน้าซะใหม่ จนหาย หลอน ลงไปเยอะแล้ว...จะยังคงถูกนำไปเป็นพรีเซนเตอร์ ถูกลาก ถูกจูง ให้ไปเกี่ยวก้อยใครต่อใคร เพื่อให้เกิดการ ปรองดอง ตามความมุ่งหมายเริ่มแรกของ คสช.ที่พยายาม ดอง กันมาโดยตลอด 4 ปี แต่ไปๆ-มาๆ ก็ดูจะยังไม่ถึงกับไปไหน มีแต่ส่งกลิ่นหอมหวนรัญจวนใจ อยู่ในไหปลาร้าเช่นเดิม...

                                                      --------------------------------------------------------

                คือความพยายามจับเอาใครต่อใครมา ปรองดอง เพื่อให้หายเหลือง-หายแดง อย่างที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะเป็นภารกิจหลัก หรือเป็น วาระแห่งชาติ สำหรับคณะรัฐประหารอย่าง คสช.มาแต่แรกเอาเลยก็ว่าได้ แต่หลังจากผ่านไปแล้ว 4 ปี ไม่เพียงแต่ความเป็นเหลือง-เป็นแดง มันยังไม่มีทีท่าว่าจะหายๆ ลงไปอย่างเท่าที่ควรจะเป็น เกิดความ รู้-รัก-สามัคคี ปรากฏขึ้นมาแทนที่อย่างที่หวังและปรารถนาต้องการไปด้วยกันทั้งสิ้น ในหมู่เหลืองๆ-แดงๆ ก็ยังเกิดอาการย่อย-แยก-แตกกระจาย ออกไปเป็นชิ้นๆ จนแทบไม่รู้ว่าไผเป็นไผ ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน ไปแล้วในทุกวันนี้...

                                                         ----------------------------------------------------

                เช่น ย่อย-แยก-แตกกระจาย เป็นฝ่าย เอาบิ๊กตู่ กับ ไม่เอาบิ๊กตู่ แถมฝ่าย เอาบิ๊กตู่ ยังแตกไลน์ แตกไฟลัม สปีชีส์ ไปเป็นฝ่าย เอาบิ๊กตู่-แต่ไม่เอาบิ๊กป้อม กับฝ่าย เลิฟ มี เลิฟ มาย ด็อก ซะอีกต่างหาก ส่วนฝ่ายที่ ไม่เอาบิ๊กตู่ ก็ยังแตกไลน์ไปเป็นฝ่าย ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง กับฝ่าย เลือกตั้งแล้วค่อยปฏิรูป ที่ต้องนั่งถก นั่งเถียงกัน ชนิดหมดไวน์ไปเป็นลังๆ ไม่ต่างไปจากพวกแดงๆ ทั้งหลาย ที่ไม่ใช่แค่แยกเป็นแดงแท้ แดงเทียม เหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่ได้วิวัฒนาการเป็น แดงเอาทักษิณ กับ แดงไม่เอาทักษิณ เข้มข้น และชัดเจน ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ แดงเอาทักษิณ ยังหนีไม่พ้นต้องแยกกอ แยกสาย เป็น เอาทักษิณ-แต่ไม่เอาสุดารัตน์ กับ เอาใครก็ได้ที่ทักษิณให้เอา ไปจนถึงประเภท เอาอนาคตใหม่ กับ เอาอดีตเผาไทยเดิมๆ จนต้องแบ่งเขตเมือง เขตชนบท แบ่งความเป็นไพร่หมื่นล้าน ออกจากความเป็นไพร่สองสลึง เล่นเอามึนซ์ซ์ซ์กันไปทั่วทั้งอีสานบ้านเฮา ฯลฯลฯลฯ...

                                                        ----------------------------------------------------------

                ด้วยความย่อย-แยก-แตกกระจาย ในลักษณะทำนองนี้...คงเหลือบ่ากว่าแรงเกินกว่า น้องเกี่ยวก้อย จะไปทำอะไรได้ ไม่ว่าจะผัดหน้า ประแป้ง ให้หาย หลอน ลงไปซักเท่าใด แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง...มันคงต้องดำเนินไปในแบบ ไม่รู้-ไม่รัก-ไม่คิดจะสามัคคี ตามแบบฉบับไทยๆ หรือไทยแท้แต่ดั้งเดิมนั่นเอง คือประเภทถ้าให้ ชกพม่า ตัวต่อตัว ยังไงๆ...ย่อม เสร็จนายขนมต้ม อยู่แล้วแน่ๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่ต้องรวมตัว หล่อหลอมกันเป็นกองทัพ เป็นอาณาจักร กรุงศรีอยุธยา หนีไม่พ้นต้อง เสร็จพม่า อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...

                                                          ---------------------------------------------------------

                อย่างไรก็ตาม...ภายใต้ความย่อย-แยก-แตกกระจายในลักษณะเช่นนี้ ก็มีอะไรแปลกๆ ให้น่าคิด น่าสะกิดใจ อยู่ไม่น้อย นั่นก็คือการอุบัติขึ้นมาของ ปรากฏการณ์ บางอย่าง ในบางช่วง บางระยะ เช่นปรากฏการณ์คุณน้องตูน บอดี้สแลมเป็นต้น ที่ส่งผลให้ไม่ว่าเหลือง ว่าแดง ถึงไม่คิดจะวิ่งตามคุณน้อง ตูน บอดี้สแลมแต่ก็ไม่ถึงกล้าคายสากออกจากปาก สาดสากกะเบือบินรบกวนปรากฏการณ์ดังกล่าวแบบจริงๆ จังๆ เหมือนอย่างที่เคยประพฤติ ปฏิบัติ ต่อฝ่ายอื่นๆ หรือแม้แต่ ปรากฏการณ์บุพเพสันนิวาส ที่เล่นเอาทั้งเหลือง ทั้งแดง ไม่ว่าไฟลัมไหน สปีชีส์ไหน กลายสภาพเป็น ออเจ้า ไปด้วยกันทั้งสิ้น นั่นยังไม่ต้องรวมไปถึงปรากฏการณ์ที่ทำให้โลกต้องตื่นตะลึง กับความอำลา-อาลัยของปวงชนชาวไทย ที่มีต่อศูนย์รวมวิญญาณแห่งชาติ...

                                                            ---------------------------------------------------------

                อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้น่าคิด น่าสะกิดใจ อยู่ไม่น้อย ว่าบางครั้ง บางครา มันอาจไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวบุคคล ไม่ได้เกี่ยวว่าใครเป็นฝ่ายไหน ต่อฝ่ายไหน แต่โดยจังหวะและโอกาส โดยสภาพแวดล้อม ที่มันดันไปตรงกับ เงื่อนไข และ เหตุปัจจัย โอกาสที่มันจะทำให้เกิดภาวะ ด้วยสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป เกิดปรากฏการณ์แปลกๆ ที่สามารถหลอมรวมใครต่อใครให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องหันไปใช้บริการ น้องเกี่ยวก้อย....ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย!!!

                                                               ---------------------------------------------------------

                ปัญหาก็จึงอยู่ที่ว่า...ใครจะสามารถ อ่านสถานการณ์ เหล่านี้ได้ออก สามารถรอคอยจังหวะและโอกาส โดยอาศัยความเข้าถึง-เข้าใจต่อสภาพแวดล้อมและความเป็นไป ได้อย่างละเอียด ประณีต และลึกซึ้งกันจริงๆ โดยอาจไม่ต้องเสียเวลาไปปวดเศียร เวียนเกล้า กับความเป็นฝ่าย การย่อย-แยก-แตกระจายออกไปเป็นชิ้นๆ ที่เป็นเพียงแค่ ส่วนประกอบ หรือ องค์ประกอบของสถานการณ์ เท่านั้น สามารถมองเห็นจุดเปลี่ยน จุดหักเห หรือ The Tipping Point จนอาจอาศัยคานไม้อันเดียว ก็งัดโลกทั้งโลก ให้กลิ้งหลุนๆ ไปตามหลักทฤษฎีอาร์คิมีดิสจนได้ ทำนองนั้น...

                                                              ---------------------------------------------------------

                แต่ก็นั่นแหละ...ผู้ที่พอเข้าใจ-เข้าถึง ต่อสิ่งเหล่านี้ได้จริงๆ คงต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ลึกซึ้ง ไม่เพียงแต่ในแง่ สติ หรือ ปัญญา เท่านั้น แต่ยังต้องแตกฉานในเรื่อง ธรรมะ หรือกฎเกณฑ์ความเป็นไปของ ธรรมชาติ ควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะกฎอิทัปปัจจยตา-ปฏิจจสมุปบาท อันว่าด้วย... ด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้....สิ่งนี้จึงเป็นไป หรือไม่งั้น...ก็คงต้องรอให้ ธรรมชาติ เองนั่นแหละบริหาร จัดการ ทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎที่ว่านี้ อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย...

                                                             ----------------------------------------------------------

                ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้...จาก High Roads of Literature... Wit and sense, virtues and human knowledgeall that might make this dull world a business of delight.- ปัญญา ไหวพริบ สติสัมปชัญญะ คุณธรรมและความรู้ กล่าวโดยย่อก็คือ สิ่งทั้งหลาย ทั้งปวง ที่จะเอื้ออำนวยให้โลกอันน่าเบื่อ กลายเป็นสถานที่อันน่าอภิรมย์ชมชื่น...

                                                            ---------------------------------------------------------                                                                 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"