ปฏิรูปกลับที่เดิม พงส.เชื่อไร้อิสระ มาร์คกระตุกมีชัย


เพิ่มเพื่อน    

    "คำนูณ” เผยสูตรปฏิรูปตำรวจแบ่งสาย 4 แท่ง เติบโตก้าวหน้าโดยไม่ถูกแทรกแซงจนถึง ผบ.ตร.ได้ทุกสายงาน ขณะที่ พงส.เซ็ง! วนกลับไปที่เดิม เชื่อไม่มีหลักประกันความเป็นอิสระตราบใดยังอยู่ใต้ สตช. "มาร์ค" ฉะเสียเวลา เสียงบไปมากแล้ว ถึงเวลาทำจริงจัง ขวางตัดอำนาจนายกฯ เลือก ผบ.ตร. กระตุก "มีชัย" ต้องคิดให้ดี 
    เมื่อวันพฤหัสบดี นายคำนูณ สิทธิสมาน กรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 25 เม.ย. เห็นควรในเบื้องต้นให้แบ่งสายงานของตำรวจออกเป็น 4 สายงาน หรือ 4 แท่ง ประกอบด้วย แท่งที่ 1 งานสืบสวนสอบสวน, แท่งที่ 2 งานป้องกันปราบปราม, แท่งที่ 3 งานเทคนิคและวิชาการ และแท่งที่ 4 งานบริหารและอำนวยการ
     นายคำนูณกล่าวว่า แท่งที่ 1 ส่วนใหญ่คือเจ้าพนักงานสอบสวนผู้มีหน้าที่ทำสำนวนคดีเพื่อส่งฟ้อง จะยกระดับให้เป็นวิชาชีพเฉพาะ เสมือนงานส่วนอื่นในกระบวนการยุติธรรม มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตำแหน่ง มีระบบศึกษาอบรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีกฎเกณฑ์ให้สามารถทำงานตามวิชาชีพได้โดยอิสระจากการสั่งการของผู้บังคับบัญชาในส่วนของคดีทำนองเดียวกับผู้ประกอบวิชาชีพเฉพาะในกระบวนการยุติธรรมหน่วยงานอื่น และจะมีค่าตอบแทนพิเศษให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างพอเพียงและมีเกียรติ โดยเทียบเคียงกับผู้ประกอบวิชาชีพเฉพาะในกระบวนการยุติธรรมหน่วยงานอื่น 
    "เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถเติบโตก้าวหน้าในแท่งวิชาชีพเฉพาะนี้ไปตามลำดับโดยไม่ถูกแทรกแซงจนถึงชั้นสูงสุด อย่างไรก็ดี การทำงานของเจ้าพนักงานสอบสวนก็จะต้องมีกลไกในการตรวจสอบถ่วงดุลจากหน่วยงานอื่นในกระบวนการยุติธรรม โดยจะพิจารณากันในโอกาสต่อไป ส่วนแท่งที่ 2, 3 และ 4 จะต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเฉพาะทางตามลักษณะของหน่วยงานที่หลากหลาย" 
    นายคำนูณกล่าวอีกว่า การแต่งตั้งโยกย้ายข้ามแท่งกระทำได้หากมีคุณสมบัติเฉพาะตรงตามตำแหน่งในแท่งที่จะย้ายไป แต่เงื่อนไขสำคัญคือ จะต้องเป็นการย้ายไปลงตำแหน่งระนาบเดียวกันเท่านั้น และไปเติบโตต่อภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกันของแท่งที่ย้ายไปโดยไม่ได้สิทธิพิเศษ ไม่ใช่ย้ายไปกินตำแหน่งที่สูงกว่า 
     “ในทุกแท่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถเติบโตในหน้าที่ไปตามลำดับจนถึงชั้นยศสูงสุดที่ พล.ต.อ. ตำแหน่งรอง ผบ.ตร. นั่นหมายถึงจะมีรอง ผบ.ตร.จากทุกแท่ง แท่งละ 1 คน และจะมี ผช.ผบ.ตร.จากทุกแท่ง  แท่งละอย่างน้อย 2 คน  ผบ.ตร.อาจมาจากแท่งใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ในการคัดเลือกและแต่งตั้งที่จะพิจารณาในโอกาสต่อไป” นายคำนูณกล่าว
    ขณะที่แกนนำสหพันธ์พนักงานสอบสวนแห่งชาติ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน (พสง.) สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง เปิดเผยถึงแนวทางดังกล่าวว่า ไม่มีอะไรใหม่ วนกลับไปที่เดิม ก่อนมีคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 7/2559 ที่ให้ยุบแท่งพนักงานสอบสวน ซึ่งเดิม พงส.เติบโตในแท่งของตัวเองอยู่แล้ว ส่วนฝ่ายสืบสวน ปราบปราม อำนวยการ จราจร อยู่แท่งรวมกัน โดยในการเลื่อนตำแหน่งของ พงส.จะต้องมีการสอบวัดผลประเมินความรู้ ความสามารถ เมื่อวนกลับไปที่เดิมแบบนี้ ก็ไม่มีหลักประกันในความเป็นอิสระ เพราะตำรวจยังมีระบบชั้นยศแบบทหาร ใช้ระบบทหารในการบังคับบัญชา
    "เวลาพนักงานสอบสวนทำคดี ตั้งแต่คดีเล็กน้อย ยันคดีใหญ่ๆ ก็จะมีผู้ใหญ่โทร.มาหาผู้การ-ผู้กำกับฯ ที่เป็นรุ่นเดียวกัน ขอฝากให้ช่วยญาติพี่น้องตัวเอง พนักงานสอบสวนก็ถูกดัน ไม่กล้าขัด เพราะเป็นผู้บังคับบัญชา ถ้าขัดก็จะหาเรื่องกลั่นแกล้ง ดังนั้นต้องแยกงานสอบสวนออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามที่สหพันธ์พนักงานสอบสวนฯ เคยเรียกร้อง ถึงจะเป็นการปฏิรูปที่แท้จริง"
    ส่วนที่มีข้อโต้แย้งว่าฝ่ายสืบสวนสอบสวนและปราบปรามจะต้องอยู่ด้วยกัน หากแยกออกไปจะมีปัญหาในการทำงานนั้น แกนนำสหพันธ์พนักงานสอบสวนฯ ผู้นี้ กล่าวว่า เป็นเพียงข้ออ้าง แค่วาทกรรม ระบบปัจจุบันพนักงานสอบสวนก็ทำการสืบสวนด้วยตนเองได้อยู่แล้ว มีบุคลากรที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว ก้าวหน้าถึงระดับรอง ผบก.มากมาย และเมื่อแยกออกไปแล้ว ก็พัฒนาระบบงานสืบสวนสอบสวนขึ้นมาได้ เพราะตราบใดที่ พงส.ยังอยู่ในระบบทหารแบบนี้ ผกก.ยังเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนโดยตำแหน่ง พนักงานสอบสวนก็ถูกแทรกแซงจากเจ้านายอยู่ดี" แหล่งข่าวพนักงานสอบสวนผู้นี้กล่าว 
    ทั้งนี้ สหพันธ์พนักงานสอบสวนแห่งชาติ เคยยื่นหนังสือพร้อมรายชื่อพนักงานสอบสวนทั่วประเทศ ต่อนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เพื่อให้ดำเนินการปฏิรูปตำรวจ โดยแยกงานสอบสวนออกจาก สตช. หลังจากนั้น พ.ต.ท.จันทร์ ชัยสวัสดิ์ เลขาธิการสหพันธ์ฯ ก็เสียชีวิตในสภาพผูกคอหลังบ้านพักตัวเอง จากนั้นบรรดาแกนนำก็ไม่มีการเคลื่อนไหวต่อสาธารณะอีก
    ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการปฏิรูปตำรวจว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวผู้เกี่ยวข้องก็ได้ยอมรับว่าต้องนับหนึ่งกันใหม่ เพราะว่ารูปแบบของงานปฏิรูปนี้ ตนตั้งข้อสังเกตมาตั้งแต่ต้นและมีมาโดยตลอดว่า คนที่ทำงานตรงนี้ ซึ่งรัฐบาลหรือ คสช.มักจะบอกว่าองค์กรที่ทำเรื่องการปฏิรูป เช่น สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.), สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) เป็นต้น ไม่มีใครมีอำนาจเลย คือคิดได้ เสนอได้  แต่สุดท้ายจะทำจริงต้องไปพึ่งคณะรัฐมนตรี ครม.กับ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หรือ คสช.พึ่ง ครม. ก็คือต้องใช้มาตรการอำนาจของฝ่ายบริหาร 
    "พึ่ง สนช.ก็คือ ต้องพึ่งคนที่สามารถออกกฎหมายได้ ถ้าพึ่ง คสช.ก็คือ ถ้าเกิดทั้ง ครม. สนช.ไม่ทำอะไรสักอย่าง แต่ คสช.ใช้อำนาจพิเศษได้ เพราะฉะนั้นผมก็บอกว่าเราจะเสียเวลา แล้วก็สิ้นเปลืองไปกับการทำงานขององค์กรเหล่านี้ แต่เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ขอให้ทำแบบจริงจัง เพราะคนก็มีความคาดหวังมากว่าจะทำอย่างไรให้เราทำเรื่องนี้กันได้สำเร็จจริงๆ ซึ่งก็ต้องมีหลักการสำคัญที่ปรากฏชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการให้ฝ่ายที่ทำงานด้านการสอบสวนมีความเป็นอิสระ ปราศจากการแทรกแซงจากทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกระจายอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผมเห็นว่าประชาชนก็อยากจะเห็น แล้วก็สัมผัสได้ง่าย เช่น ทำอย่างไรไม่ให้เกิดมีพฤติกรรมที่มีการใช้อำนาจของตำรวจมารังแกประชาชน ซึ่งในยุคนี้ควรจะทำได้ง่ายขึ้น ถ้าเรามีการวางระบบตรวจสอบที่ดี เอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ อะไรต่างๆ เป็นต้น"
     ส่วนกรณีของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ..... เสนอว่าจะไม่ให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนเลือกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนเห็นว่าการจะไปตัดอำนาจของนายกฯ โดยสิ้นเชิงนั้น คงต้องคิดให้ดี ถ้าทำงานด้วยกันไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีระบบของการตรวจสอบถ่วงดุล เช่น การวางหลักเกณฑ์ว่าใครจะมีคุณสมบัติ การมีกลไกที่อาจจะมาตรวจสอบถ่วงดุลได้ เช่น ระบบคณะกรรมการที่ต้องมาให้ความเห็นชอบ  อย่างนี้เป็นต้น
    "สำคัญที่สุดก็คือ ถ้าหากว่าการปฏิรูปนี้มันปรับเปลี่ยนโครงสร้างจนเกิดการกระจายอำนาจมากขึ้น ความสำคัญของวิธีการเลือก ผบ.ตร.จะลดลง เพราะว่าตอนนี้ที่คนมีความรู้สึกก็คืออำนาจมันถูกรวมศูนย์อยู่ตรงส่วนกลางทั้งหมด มันกระจุกอยู่อย่างนี้ ก็ชี้เป็นชี้ตาย ทำอะไรได้หมด มันก็เลยทำให้เกิดบางกรณีก็เป็นการวิ่งเต้น เสนอผลประโยชน์ หรือก็ต้องสู้กันคอขาดบาดตาย เพราะว่าพอใครกุมอำนาจตรงนี้ อำนาจมันล้น มันเยอะ แต่พอเรากระจายอำนาจลงไปมันก็จะเปลี่ยนแปลงไปแล้วทีนี้มันก็จะไม่เป็นปัญหามากนัก แล้วที่จะต้องมากังวลว่าวิธีการเลือก ผบ.ตร.นี้จะทำกันอย่างไร" นายอภิสิทธิ์กล่าว. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"