10 ต.ค. 2563 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานนิทรรศการและการเสวนา “MOT 2020 Move On Together คมนาคมเคียงข้างคนไทย ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤติ COVID-19” ว่า กระทรวงคมนาคมได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคตะวันออก เพื่อสนับสนุนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(อีอีซี) ซึ่งที่ผ่านมาได้พยายามเร่งรัดโครงการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งในทุกโหมดการเดินทาง ทั้งบก น้ำ ราง และอากาศให้มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง อาทิ การพันาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง(มอเตอร์เวย์) หมายเลข 7 เดิมสิ้นสุดที่พัทยา ก็ต่อขยายไปจนถึงมาบตาพุด และให้เชื่อมเข้าสู่สนามบินอู่ตะเภาด้วย คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 68

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีการสร้างทางหลวงชนบทเลียบชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ไทยแลนด์ริเวียร่า ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต เพิ่มอีก 95 กิโลเมตร(กม.) จากเดิมมีระยะทางประมาณ 100 กม. โดยเริ่มที่ อ.แกลง จ.ระยอง และไปสิ้นสุดที่ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 64 ขณะเดียวกันยังได้เร่งรัดการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) โดยได้มอบให้นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เร่งเคลียร์ย้ายผู้บุกรุกออกจากพื้นที่ ซึ่งขณะนี้ยังเหลืออยู่ประมาณ 40 ราย จากทั้งหมด 400 กว่าราย ทั้งนี้มั่นใจว่าจะสามารถส่งมอบพื้นที่ ช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ได้ครบทั้งหมดในเดือน มี.ค.64 

นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า พร้อมกันนี้ยังมีโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ขณะนี้ทราบผลผู้ชนะการประมูลโครงการเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนการเจรจาให้ได้ราคาที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน พ.ย.นี้ และยังเตรียมพัฒนาศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรด้านการบินและอวกาศอู่ตะเภา เพื่อยกระดับฝีมือแรงงานในอุตสาหกรรมการบินต่อไป อย่างไรก็ตามในปี 64 มีแผนจะผลักดันการจัดตั้งศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP แบบถาวร เพื่อให้ประชาชนมีพื้นที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้ตลอดทั้งปี โดยมอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.), กรมท่าอากาศยาน(ทย.), บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ ทอท. และกรมเจ้าท่า (จท.) ไปพิจารณาจัดหาพื้นที่ที่เหมาะสมแล้ว

นายศักดิ์สยาม กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้จะส่งเสริมการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยขณะนี้กรมทางหลวง(ทล.) และกรมทางหลวงชนบท(ทช.) กำลังศึกษาการนำพลาสติกมาปูผิวถนนแล้ว ซึ่งได้กำชับให้พิจารณาราคาค่าก่อสร้างด้วยว่ามีราคาที่สูงกว่าปกติหรือไม่ อย่างไรก็ตามยืนยันว่าการดำเนินโครงการต่างๆ ในช่วงที่เกิดโรคโควิด-19 และโครงการต่างๆ ในปี 64 แม้จะต้องปรับลดงบประมาณบางส่วนไปเป็นงบกลางเพื่อใช้ในการป้องกันโควิด-19 แต่ก็ไม่กระทบกับการเดินหน้าโครงการต่างๆ ยังคงมีจำนวนโครงการเท่าเดิมตามแผน แต่บางโครงการอาจมีขยายเวลาการก่อสร้างออกไปบ้าง