ชู3นิ้วหน้าขบวน ‘ทอน-ช่อ’ปั่นม็อบตุลา‘คณะราด’เหิมหนัก!


เพิ่มเพื่อน    

 

เครือข่าย "คณะราด" 63 อ้างสวยหรูไม่ขัดขวางขบวนเสด็จฯ ในหลวง แต่เหิมเกริมหนัก! จะให้ม็อบยืนชู 3 นิ้วขณะขบวนเสด็จฯ ผ่าน "อานนท์" คุยเรียกแขกมาแน่ 2 แสนคน  "ธนาธร-ช่อ" ทุ่มหมดหน้าตัก ช่วยกันปั่น อ้างต้องการให้หันหน้าเข้าหากัน แต่ปลุก 6 ตุลา อาชญากรรมโดยเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง มีประชาชนที่ถูกสังหารกลางกรุงเทพฯ อย่างโหดเหี้ยม ตำรวจจัด 95 กองร้อย เตรียมอุปกรณ์อาวุธพิเศษ รักษาความปลอดภัยเข้ม
    วันที่ 10 ตุลาคม เพจกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย และเพจอื่นๆ ซึ่งเป็นเครือข่ายของคณะราษฎร 2563 โพสต์เฟซบุ๊กประชาสัมพันธ์ถึงกรณีขบวนเสด็จฯ กับการชุมนุมวันที่ 14 ต.ค.2563 ด้วยข้อความตรงกันว่า จะไม่มีการขัดขวางขบวนเสด็จฯ
    คณะราษฎรขอยืนยันว่า เราจะไม่มีการขัดขวางขบวนเสด็จฯ หากมีขบวนเสด็จฯ ผ่านยังพื้นที่ชุมนุม หากสื่อสำนักใด หรือกลุ่มใดก็ตามกำลังพยายามสร้างความเกลียดชังแก่ผู้เรียกร้องประชาธิปไตย จงหยุดการกระทำเหล่านั้น
    เราได้ประกาศไปเป็นเวลานานก่อนหน้านี้แล้วว่า จะมีการชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งการชุมนุมทุกครั้งที่ผ่านมา และครั้งต่อๆ ไปที่จะเกิดขึ้น ล้วนเป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ หากเกิดเหตุผิดปรกติอันใดขึ้น ขอให้ประชาชนจงตระหนักว่า นั่นไม่ได้มาจากผู้ชุมนุม แต่กลับมาจากมือที่ 3 หรือฝ่ายรัฐเองที่ต้องการสร้างสถานการณ์
    หากตำรวจยังไม่จัดเส้นทางรถยนต์กษัตริย์ใหม่ หากมีผู้ร่วมชุมนุมจำนวนมากขบวนจะผ่านก็ยาก และลำบากต่อการจราจร ตำรวจจึงควรจัดเส้นทางที่ทำให้กษัตริย์ไม่ต้องเสี่ยงต่อมือที่ 3 ที่จ้องจะสร้างสถานการณ์
    เราทุกคนต่างมีสิทธิในการใช้ถนนอย่างเท่าเทียมกัน หากช่วงที่มีขบวนรถกษัตริย์ผ่าน การจราจรยังไม่ถูกปิดจากการใช้พื้นที่ชุมนุม กลุ่มผู้ชุมนุมก็พร้อมจะให้ทุกคนได้ใช้ถนนร่วมกัน โดยจะไม่มีการขัดขวางหรือก่อให้เกิดความไม่สะดวกใดๆ แก่ประชาชนทั่วไป รวมทั้งขบวนเสด็จฯ ของกษัตริย์ด้วย
    ผู้ชุมนุมจะยืนอย่างสงบโดยชู 3 นิ้ว ร่วมกันแสดงออกอย่างสันติวิธี และสื่อถึงข้อเรียกร้องในการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ มิใช่ล้มล้าง เพื่อให้สถาบันกษัตริย์อยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตยได้อย่างสง่างาม ไม่ถอยห่างจากระบอบประชาธิปไตย กลับเข้าสู่ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง
    นายอานนท์ นำภา แกนนำม็อบปลดแอก โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า นึกภาพขณะขบวนรถกษัตริย์วิ่งผ่านประชาชนเรือนแสน แสดงออกอย่างอารยะด้วยสันติวิธี ร่วมกันชู 3 นิ้ว และท่องบทกวีของคุณวิสากึกก้องราชดำเนิน เพื่อเรียกร้องให้สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันที่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ จะมีพลังขนาดไหน นี่คือการแสดงออกอย่างสงบ และสันติวิธี ตำรวจมีหน้าที่ในการดูแลการชุมนุมและขบวนรถกษัตริย์ ไม่ให้ผู้ไม่หวังดีมาก่อกวน เจอกัน 14 นาฬิกา 14 ตุลา
    "ไปๆ มาๆ เรื่องขบวนเสด็จฯ นี่แหละจะช่วยเรียกแขกให้การชุมนุมมีคนมามากขึ้น ตอนแรกคาดว่าจะมาเท่าวันที่ 19 กันยายน ดูทรงคนอยากมาแสดงออกต่อกษัตริย์โดยตรง อาจมากกว่า 2 แสนก็เป็นได้" นายอานนท์ระบุ
    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แกนนำคณะก้าวหน้า นำโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และนางสาวพรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ร่วมจัดรายการเฟซบุ๊กไลฟ์ประจำสัปดาห์ “ก้าวหน้าทอล์ก” โดยมีการพูดถึงกรณีร้อนการอภิปรายในรัฐสภาเยอรมนีเกี่ยวกับสถานะของพระมหากษัตริย์ไทยที่พำนักอยู่ในแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี ในขณะนี้
รัฐสภาเยอรมนี
     โดยนายธนาธรและ น.ส.พรรณิการ์ได้ชวนกันพูดคุยถึงกรณีที่รัฐสภาเยอรมนีมีการอภิปรายในรัฐสภา ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี ถึงกรณีสถานการณ์ในประเทศไทยที่มีการชุมนุมประท้วงและมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง ท่าทีของประเทศเยอรมนีจะมีการกดดันให้สหภาพยุโรปยุติการเจรจาการค้าเสรี (FTA) กับประเทศไทยหรือไม่  
    รวมทั้งในกรณีที่พระมหากษัตริย์ของประเทศไทยพำนักอยู่ในประเทศเยอรมนี และมีการใช้พระราชอำนาจมาจากประเทศเยอรมนี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนีมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งการประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนีได้ให้คำตอบว่า การระงับการเจรจา FTA เป็นหนึ่งในทางเลือก แต่เยอรมนีไม่ต้องการให้ไปถึงจุดนั้น และมุ่งหวังที่จะให้เกิดการพูดคุยกันเพื่อแสดงความกังวลต่อการใช้อำนาจของรัฐบาลไทย และจะมีการจับตาสถานการณ์ในประเทศไทยต่อไปอย่างใกล้ชิด
    ส่วนกรณีพระมหากษัตริย์ไทยที่พำนักอยู่ในเยอรมนี และใช้พระราชอำนาจบนดินแดนของเยอรมนีนั้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลเยอรมนีมีความชัดเจนแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้เกิดการตัดสินใจที่กระทบต่อประเทศไทยถูกกระทำบนดินแดนของเยอรมนีได้
        น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กรณีของประเทศไทยถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงในรัฐสภา ก่อนหน้านี้เคยมีการอภิปรายมาแล้วในรัฐสภาของแคว้นบาวาเรีย ตั้งคำถามต่อรัฐบาลบาวาเรีย โดย ส.ส.พรรคกรีน ว่าในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีมาตรการไม่ให้เปิดโรงแรมรับนักท่องเที่ยวเป็นกรณีทั่วไป แต่อนุญาตให้รับเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจสำคัญ โดยมีการทำเรื่องขออนุญาต จึงจะเปิดโรงแรมให้พักได้ แต่เหตุใดโรงแรมที่กษัตริย์ไทยพำนักอยู่นั้นจึงอนุญาตให้พำนักได้ เป็นการเลือกปฏิบัติแตกต่างจากประชาชนปกติหรือไม่ ทั้งๆ ที่เป็นการมาพักผ่อนพระราชอิริยาบถ ไม่ใช่การมาประกอบธุรกิจ
    น.ส.พรรณิการ์อ้างว่า เรื่องนี้ไม่ได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจนักจากรัฐสภาบาวาเรีย จนเรื่องนี้ในที่สุดถูกนำมาอภิปรายในรัฐสภาระดับชาติของประเทศเยอรมนี ที่ ส.ส.พรรคกรีนและกรรมาธิการการต่างประเทศตามเนื้อหาข้างต้น ซึ่งโดยหลักการในทางระหว่างประเทศ สำหรับประเทศที่มีเอกราชประเทศหนึ่งๆ จะมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนได้เพียงอำนาจเดียว จะมีผู้แสดงตนเป็นอำนาจอธิปไตยมาอยู่ในที่เดียวกันสองหน่วยไม่ได้ สิ่งที่ ส.ส.คนนี้ตั้งคำถามคือ พระมหากษัตริย์ที่อยู่ในฐานะประมุขของรัฐไทย มีการใช้อำนาจอธิปไตยของประเทศที่เป็นประมุขอยู่ในดินแดนของเยอรมนีได้อย่างไร?
    ขณะที่นายธนาธรระบุว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะเกิดการถกเถียงกันในรัฐสภา ซึ่งเป็นที่ที่ทรงอำนาจสูงสุดในเยอรมนี มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแน่นอน มีการพูดถึงการถอนการเจรจา FTA เราในประเทศไทยไม่สามารถเพิกเฉยได้ แต่ต้องพูดกันด้วยเหตุด้วยผลและยอมรับความจริง เพราะมีคนจำนวนมากที่พอพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วรู้สึกว่าถูกคุกคามจิตใจ เราไม่ต้องการพูดเพื่อทำร้ายจิตใจใคร แต่เราต้องการพูดด้วยความหวังดี เพื่อให้เกิดการปฏิรูปอยู่คู่กับประชาธิปไตยและสังคมไทยได้
กระอักกระอ่วน
    “นี่คือข้อความหลักที่ผมอยากจะส่งไปให้กับกลุ่มคนที่รู้สึกไม่สบายใจ กระอักกระอ่วน เมื่อมีคนพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ วันนี้มันถูกพูดขึ้นแล้ว ไม่ได้ถูกพูดขึ้นในประเทศไทยด้วย แต่มันถูกพูดขึ้นในการอภิปรายในรัฐสภาของเยอรมัน คงจะเพิกเฉยต่อมันไม่ได้ แต่ผมอยากขอร้องให้ทุกฝักทุกฝ่ายพูดด้วยความเข้าใจกัน พูดกันด้วยเหตุผล พูดกันด้วยข้อเท็จจริง เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับทุกฝักทุกฝ่าย แต่จะเพิกเฉย ทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้น ทำเหมือนเรื่องนี้ไม่มีจริงต่อไปก็คงจะไม่ได้แล้ว” นายธนาธรกล่าว
    จากนั้นทั้งสองได้ร่วมกันพูดคุยต่อถึงประเด็นทวิตเตอร์เปิดโปงปฏิบัติการ IO โดยรัฐที่ใช้แพลตฟอร์มทวิตเตอร์ในการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร และละเมิดนโยบายของทวิตเตอร์ ซึ่งประกอบไปด้วย 1,594 บัญชีใน 5 ประเทศคือ อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย คิวบา ไทย และรัสเซีย ซึ่งบัญชีที่ถูกสั่งปิดไปในประเทศไทยอย่างเดียว มีจำนวนมากถึง 926 บัญชี ที่เชื่อมโยงกับกองทัพไทย มีเนื้อหาสนับสนุนกองทัพ สนับสนุนรัฐบาล และโจมตีฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะสมาชิกพรรคอนาคตใหม่เดิมและพรรคก้าวไกล
    น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า พูดตรงๆ ว่าพรรคเราในฐานะที่เป็นพรรคการเมือง นักการเมือง ไม่ได้รับผลกระทบมากมายอะไรจากปฏิบัติการของ IO ในทวิตเตอร์ เพราะมันประสิทธิภาพต่ำมาก พูดง่ายๆ ก็คือไม่มีฝีมือ มันไม่สามารถทำอะไรได้ ต่างจากในเฟซบุ๊กซึ่งถือว่ามีขุมกำลังที่น่ากลัวอยู่พอสมควร แต่สิ่งที่เรากังวลมากกว่าผลกระทบต่อเราก็คือ ภาษีของประชาชนเนี่ย ถูกนำไปใช้ในการยุยงปลุกปั่นสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชนหรือ
    ด้านนายธนาธรกล่าวว่า เรื่องนี้ทำให้ตนจำเป็นต้องพูดถึงผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ทั้งคนเก่าและคนใหม่ เมื่อประมาณ 2-3 เดือนที่แล้ว ตอนที่ตนยังเป็นกรรมาธิการงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ระหว่างที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ. มาชี้แจงงบประมาณของกองทัพบก ตนได้ถาม พล.อ.อภิรัชต์ว่าตกลงกองทัพมีปฏิบัติการ IO หรือไม่ เป็นหนึ่งในคำถามสำคัญ พล.อ.อภิรัชต์ตั้งใจที่จะไม่ตอบเรื่องนี้ แต่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นผู้ตอบต่อที่ประชุมว่ากองทัพไม่มีปฏิบัติการ IO  
    "วันนี้เราอยู่ในเดือนตุลาคม เราเพิ่งผ่านการรำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เป็นอาชญากรรมโดยรัฐมาเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง มีประชาชนที่ถูกสังหารกลางกรุงเทพฯ อย่างโหดเหี้ยม แล้วพื้นฐานของการอนุญาตให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นในวันที่ 6 ตุลาคม ก็เกิดจากการสร้างความเกลียดชังให้ประชาชนเกลียดชังกันเอง สังคมที่สร้างความเกลียดชัง เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังไว้ พอมันเติบโตขึ้นมาแล้วมันหยุดไม่อยู่ รูปแบบการทำงานของรัฐไทยเป็นอย่างนี้มาตลอด คือปลุกปั่นยุยง สร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน"
    นายธนาธรกล่าวว่า เมื่อประชาชนแตกแยกกัน ก็เป็นความชอบธรรมที่ทหารจะเข้ามายึดอำนาจ ที่ทหารจะเข้ามาปราบปราม ตนคิดว่าเรื่องนี้น่ากลัวมาก และขอยืนยันว่า 1.มันเป็นการใช้งบประมาณที่ไม่ถูกต้อง เอาภาษีของประชาชนมาทำให้ประชาชนเกลียดกันเองไม่ได้ 2.การเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง สุดท้ายจะนำไปสู่ความรุนแรง ไปดูสงครามที่ไหนก็อย่างนี้ เกลียดกันเพราะความเชื่อทางศาสนา เพราะสีผิว เพราะชาติพันธุ์ เพราะความเชื่อทางการเมืองเพียงเพื่อต้องการรักษาอำนาจไว้ กรณีนี้ก็เหมือนกัน"
เตรียมตร.95กองร้อย
    นายธนาธรกล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้าเราต้องเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคมสักอย่างหนึ่ง ก็น่าจะเป็นเรื่องนี้ ว่าการสร้างความเกลียดชังไม่นำไปสู่การแก้ปัญหา จะนำไปสู่การเข่นฆ่ากัน จะนำไปสู่ความรุนแรงในท้ายที่สุด ตนเชื่อว่าสังคมจะเดินหน้าต่อไป ไม่ใช่ความเกลียดชังที่เราต้องการ แต่เป็นการหันหน้าเข้าหากัน ขับเคลื่อนสังคมด้วยความเห็นอกเห็นใจกัน ขับเคลื่อนสังคมด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ขับเคลื่อนสังคมด้วยความเกลียดชัง
    นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการชุมนุมว่า เราจะต้องรู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวถึงความต้องการของประชาชน รวมถึงรู้ร้อนถึงปัญหาวิกฤติการเมือง ความเชื่อมั่นของประชาชน หากรัฐบาลต้องการผ่อนอุณหภูมิทางการเมือง เห็นว่าอย่างน้อยควรมีการโหวต เพื่อให้ได้ข้อสรุปถึงทิศทางการแก้กฎหมายของประเทศว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะหากเตะถ่วงต่อไปจะไม่เป็นผลดี และเป็นการเพิ่มอุณหภูมิทางการเมือง หากสภาไม่สามารถเป็นหลักในการแก้ปัญหาให้ประชาชนได้ เท่ากับว่าเป็นการผลักปัญหาของประชาชนออกไปนอกสภา
    ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้เผยแพร่ข้อมูลด้วยปรากฏข้อมูลข่าวสารตามสื่อสังคมออนไลน์ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับแกนนำจัดการชุมนุมเมื่อวันที่ 19-20 กันยายน ที่ผ่านมา และจะได้ทำการจับกุมแกนนำช่วงก่อนวันที่ 14 ตุลาคม 2563 เพื่อไม่ให้มาทำกิจกรรมชุมนุมในวันที่ 14 ตุลาคม 2563 นั้น
    กองบัญชาการตำรวจนครบาลขอยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการออกหมายจับแกนนำที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมเมื่อวันที่ 19-20 กันยายน 2563 แต่อย่างใด โดยเหตุการณ์ดังกล่าวยังอยู่ระหว่าง คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินขั้นตอนตามกฎหมาย ซึ่งหากมีความคืบหน้าประการใด จะได้แจ้งให้ทราบโดยทั่วกันต่อไป
    มีรายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ได้มีบันทึกข้อความถึง ผบช.น., ภ.1-9 และ ตชด. อ้างถึงหนังสือ บช.น. ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2563 ขอรับการสนับสนุนกองร้อยควบคุมฝูงชน จำนวน 95 กองร้อย จาก ตร. เพื่อปฏิบัติภารกิจการรักษาความปลอดภัยและการรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมการชุมนุมคณะราษฎร ที่เชิญชวนประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมการชุมนุม "เพราะเราทุกคนคือคณะราษฎร และคณะราษฎรยังไม่ตาย" ในวันที่ 14 ตุลาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง กรุงเทพฯ
    เพื่อให้การดูแลการชุมนุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และสนับสนุนภารกิจของ บช.น. จึงให้หน่วยต่างๆ ดำเนินการดังต่อไปนี้
อุปกรณ์อาวุธพิเศษ
    1.ให้หน่วยจัดกำลังควบคุมฝูงชน (คฝ.) พร้อมเครื่องมืออุปกรณ์ประจำกาย สนับสนุน บช.น. จำนวน 95 กองร้อย ใช้ยอดกำลังพลดังต่อไปนี้ ตชด.จำนวน 12 กองร้อย, ภ.1 จำนวน 9 กองร้อย, ภ.2 จำนวน 10 กองร้อย, ภ.3 จำนวน 13 กองร้อย, ภ.4 จำนวน 13 กองร้อย, ภ.5 จำนวน 9 กองร้อย, ภ.6 จำนวน 12 กองร้อย, ภ.7 จำนวน 9 กองร้อย และ ภ.9 จำนวน 8 กองร้อย
    โดยให้ร้อย คฝ. ที่สนับสนุนดำเนินการดังนี้ 1.จัดเตรียมอุปกรณ์อาวุธพิเศษ ระดับกองร้อย (อัตรา 1 หมวด)
2.จัดเตรียมรถควบคุมผู้ต้องหาขนาดเล็ก พร้อมพลขับ กองร้อยละ 1 คัน 3.จัดชุดเจราจรต่อรองกองร้อยละ 3 นาย โดยมีนายตำรวจสัญญาบัตรเป็นผู้ควบคุม
    ทั้งนี้ ให้กำลัง คฝ. (ผบ.ร้อย) ที่สนับสนุน บช.น. รายงานตัวในวันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 โดยให้สอบถามเวลา สถานที่ และประสานการปฏิบัติกับ พ.ต.ต.อนันต์ จันทร์ศรี สว.ฝอ.3 บก.อก.บช.น.
    ที่บ้านเรือนไทยพรหมคีรี ต.บ้านเกาะ อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช นายทวี ประหยัด รองประธานเครือข่ายหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่น เรารักประเทศไทย อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคใต้, นายศักดา ยวนแหล ประธานเครือข่ายหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นจังหวัดนครศรีธรรมราช ร่วมกับคนไทยมุสลิม ประชาชน แกนนำคนเสื้อแดง และอดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดง ทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ ประชุมทำความเข้าใจเพื่อดำเนินการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เตรียมการรณรงค์ให้ประชาชน นักเรียน นักศึกษา และชาวไทยมุสลิม ได้เข้าใจถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงของประเทศไทยแต่ละพระองค์ พร้อมกับเป็นการแสดงต่อต้านกลุ่มจาบจ้วงสถาบันฯ  ประกาศเจตนารมณ์ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และไม่ขอเข้าร่วมกลุ่ม 14 ตุลาคมนี้อย่างเด็ดขาด
    นายทวี ประหยัด รองประธานเครือข่ายหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่น เรารักประเทศไทย อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคใต้ ได้เปิดเผยว่า บรรพบุรุษไทย เสียเลือดเนื้อ เสียชีวิต เพื่อปกป้องแผ่นดิน และสถาบันฯ ซึ่งมีเอกราชมาจนถึงทุกวันนี้ เราจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และแผ่นดินไทยต่อจากบรรพบุรุษของพวกเราชาวไทย พวกเรายอมพลีชีพเพื่อปกป้องพระมหากษัตริย์ไทย เพราะรักพระองค์ยิ่งกว่าชีวิต การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นับว่าเป็น "การผสมผสานที่ดีที่สุด ลงตัวที่สุด และสวยงามที่สุด" ระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับระบอบกษัตริย์ซึ่งมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อความคงอยู่ของชาติบ้านเมืองตลอดมา บางคนกล่าวว่า ถ้าไม่มีกษัตริย์ ก็ไม่มีประเทศไทย ถ้าไม่มีประเทศไทย ก็ไม่มีระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้น จุดลงตัวที่สุดคือ ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข "...พระมหากษัตริย์อยู่คู่กับประวัติศาสตร์ไทยมากว่า 700 ปี และทรงทำให้ประเทศไทยเป็นเอกราช เจริญรุ่งเรือง พาชาติผ่านพ้นวิกฤติมาแล้วหลายครั้ง ไม่ต้องดูย้อนไปไกล เอาแค่สมัยรัตนโกสินทร์ก็พอ..."
    นายทวีกล่าวอีกว่า พระมหากษัตริย์สามารถนำพาประเทศให้พ้นจากลัทธิล่าอาณานิคมของฝรั่ง ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคตกเป็นอาณานิคมจนหมดสิ้น พระมหากษัตริย์ได้เตรียมการที่จะมอบรัฐธรรมนูญให้กับราษฎรแล้วในปี 2475 แต่ที่ต้องชะลอไปก่อนก็เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจพอสมควรเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่ทันใจคณะผู้ก่อการที่ต้องการการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่จำกัดอำนาจของพระมหากษัตริย์ แต่บางกลุ่มก็ไปไกลกว่านั้น ถึงกับต้องการล้มเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ วันนี้พวกเราชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม จึงได้ร่วมกับแกนนำและอดีตประธานหมู่บ้านแสดงทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ ออกมารณรงค์ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และยืนยันว่าจะไม่เข้าร่วมกิจกรรม 14 ตุลาคมอย่างเด็ดขาด.

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"