แฟ้มภาพ ประชุมรัฐสภา

12 พ.ย. 63 - นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) เปิดเผยว่าสืบเนื่องจากวันที่ 17 พ.ย. รัฐสภามีกำหนดการโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญ 7 ญัตติ รวมถึงร่างกฎหมายที่นำเสนอโดยไอลอว์ สภาที่ 3 คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย จึงได้จัดการประชุมทางการเมืองเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญและความขัดแย้งทางการเมือง ในหัวข้อ "บทบาทรัฐสภาในการโหวตแก้รัฐธรรมนูญ 7 ญัตติ กับจุดเปลี่ยนประเทศไทย" ในวันพรุ่งนี้(13 พ.ย.) ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เพื่อเรียกร้องให้รัฐสภา ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. โหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญและความขัดแย้งเพื่อเป็นทางออกให้ประเทศไทย โดยเชิญผู้แทนพรรคการเมือง ส.ว. และภาคประชาชนเข้าร่วม รวมถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

โดย ครป. ต้องการเรียกร้องให้รัฐสภา โดย ส.ส. ส.ว. โหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระแรกไปก่อนเพื่อหาทางออกจากวิกฤตร่วมกัน และค่อยมาแปรญัตติรายมาตราว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญกันอย่างไรโดยใช้เสียงข้างมากเพื่อร่างกติการ่วมกันใหม่ในอนาคต รวมถึงการตั้ง ส.ส.ร.จากการเลือกตั้ง โดยเฉพาะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ภาคประชาชนนำเสนอกว่าแสนรายชื่อนำโดย ilaw จะต้องถูกพิจารณารับหลักการ รัฐสภาจะต้องไม่ปฏิเสธการมีส่วนร่วมและเสียงประชาชน อย่าเห็นแก่ผลประโยชน์ทับซ้อนเนื่องจากร่างของไอลอว์ เสนอยกเลิก ส.ว. ชุดปัจจุบันที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. ให้มี ส.ว. จากการเลือกตั้งแทน และให้มีการเลือกตั้งองค์กรอิสระตามกระบวนการรัฐธรรมนูญ 2540 เพื่อพิสูจน์ความจริงใจในการแก้ปัญหา

นอกจากนี้ การที่มี ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ และส.ว.บางส่วนแตกแถวไปเคลื่อนไหวยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นทั้งของวิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้าน และไอลอว์ ทั้งที่ยังไม่ผ่านวาระแรก เป็นการเตะถ่วงการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อหวงอำนาจส่วนตนซึ่งพรรคพลังประชารัฐต้องจัดการ เพราะสวนทางจากนโยบายปรองดอง เนื่องจากการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความจะเกิดขึ้นภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการของรัฐสภาแล้ว เป็นการดูหมิ่นการทำหน้าที่ของรัฐสภาและดูหมิ่นประชาชน

เลขาฯครป. กล่าวด้วยว่า สำหรับข่าวที่ว่ารัฐบาลจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเองเพื่อประโยชน์ส่วนตนแล้วยุบสภาภายใน 6 เดือนนั้นอย่าหาทำ เนื่องจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องมาจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รัฐบาลที่นำโดยพรรคพลังประชารัฐที่มี พล.อ.ประวิตร จะต้องรับผิดชอบต่อบ้านเมืองหาบุคคลมาแทนพล.อ.ประยุทธ์ และอย่าเอาคณะรัฐมนตรีสีเทามาบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะการแต่งตั้งภรรยารัฐมนตรีมาเป็นข้าราชการการเมือง เป็นเรื่องที่น่าเกลียด ผิดจริยธรรมการเมือง ไม่ต่างจากรัฐบาลก่อนที่เคยถูกด่าสภาผัวเมีย อย่าท้าทายประชาชนด้วยการเผด็จอำนาจโดยไม่สนใจเสียงของสังคมเลย

"ในระหว่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐบาลควรถอยคนละก้าวโดยการบังคับใช้กฎหมายด้วยความเป็นธรรม หยุดกลั่นแกล้งคุกคามประชาชน ให้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือที่เท่าเทียมในการทำงานแก้ไขความขัดแย้งโดยไม่เลือกปฏิบัติ การที่ใช้ตำรวจกลั่นแกล้งโดยการแจ้งจับตามกฎหมายการชุมนุมนอกจากขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 44 แล้วยังนำมาบังคับใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ได้ เนื่องจากในมาตรา 3 (6) ของ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ได้กำหนดไม่ให้ใช้บังคับในกรณีที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่รัฐสามารถออกข้อห้ามประชาชนทำอะไรที่เป็นการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพตามกฎหมายได้มากมายอยู่แล้ว การที่ตำรวจได้ดำเนินคดีอาญากับประชาชนจำนวนมากโดยกล่าวหาว่าเป็นผู้จัดหรือร่วมชุมนุมในแต่ละเหตุการณ์และสถานที่ต่างๆ ที่อ้างว่าฝ่าฝืนกฎหมาย จึงเป็นการแจ้งข้อหาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้น"

ส่วนทางออกจากความขัดแย้งอื่นๆ ควรจะมีการตั้งกรรมาธิการแก้ไขปัญหาในรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปสถาบัน รวมทั้งการปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปตำรวจ ให้สำเร็จไปพร้อมๆ กับการปฏิรูปการเมือง และการปรองดองสมานฉันท์ในระยะยาว คู่ขนานไปกับกระบวนการแก้ไขและร่างรัฐธรรมนูญใหม่.

สำหรับการประชุมทางการเมืองเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญและความขัดแย้งทางการเมือง หัวข้อ "บทบาทรัฐสภาในการโหวตแก้รัฐธรรมนูญ 7 ญัตติ กับจุดเปลี่ยนประเทศไทย" ในวันพรุ่งนี้(13 พ.ย.) ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย  จะมีหลายฝ่ายเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น อาทินายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์  ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 นาย.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต   ประธาน ครป. ,นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  อดีตนายกรัฐมนตรี, คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์  ประธานก่อตั้งสถาบันสร้างไทย ,นายคำนูญ สิทธิสมาน  สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)

นายสรัสวดี หุ่นพยนต์  องค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (P-Net) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง  พรรคประชาชาติ ,นาย ชัยธวัช ตุลาฑล เลขาธิการ พรรคก้าวไกล ,นางสาวณัฐฏา มหัทธนา  กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง, นางสาวธิษะณา ชุณหะวัณ  กลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า   ,นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw)เป็นต้น.