
วงเสวนาแด่นักสู้ผู้จากไปฯ แนะรัฐต้องจริงใจ ไม่ปล่อยคนผิดลอยนวล แก้ปัญหาอุ้มหายซ้ำซาก อดีตกรรมการสิทธิฯ แนะคดีบังคับสูญหายต้องไม่หมดอายุความ “ธนาธร” ไล่ทิ่ม คนสร้างคำพูดว่าให้มีชีวิตอย่างพอเพียง เพื่อที่ตัวเองจะรักษาโครงสร้างอำนาจ
เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ (PPM) จัดเสวนาหัวข้อ “แด่นักสู้ผู้จากไป ประชาธิปไตยแบบไหน ที่จะไม่ลอยนวลพ้นผิด”
ในวงเสวนาดังกล่าว นางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า การที่เราต้องลุกขึ้นมาเหมือนกับการพันธนาการที่ไม่กล้ามองอนาคต การก้าวพ้นภาระเพื่อออกมาลุกขึ้นยืนปกป้องคนอื่นไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ผ่านมามีคนสูญหายมากมาย แต่ประเทศไทยไม่มีการบังคับคดีเรื่องการสูญหายและการค้นหาความจริง ที่ผ่านมาชาวบ้านทำได้เพียงแค่สร้างอนุสาวรีย์เพื่อเตือนใจ และประจานรัฐบาล การสูญหายไม่มีผู้เสียหาย เพราะผู้เสียหายนั้นหายไปแล้ว ไม่เชื่อมั่นว่าภายใต้รัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยจะสามารถออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิมนุษยชนได้ เพราะคณะรัฐมนตรีพยายามแสดงความจริงใจผ่านร่างกฎหมายคุ้มครองผู้สูญหาย แต่เมื่อเช้า สนช.กลับล่าช้า และมีการหยิบร่างกฎหมายนี้ออกไป
นางอังคณากล่าวต่อว่า การบังคับสูญหายต้องเป็นกฎหมายที่ไม่หมดอายุความ แต่ที่ผ่านมาการออกกฎหมายมาก็เพื่อคุ้มครองผู้กระทำความผิด เอื้อต่อการงดเว้นโทษ ทำให้ผู้กระทำผิดยังคงเกิดขึ้น กฎหมายคุ้มครองสิทธิมนุษยชนนี้ต้องให้ญาติและเหยื่อจำเป็นต้องมีส่วนร่วม และรัฐบาลต้องรับฟัง เมื่อคนกระทำความผิดเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ จึงไม่ง่ายเลยในการดำเนินคดี และไม่มีการคุ้มครองพยาน แต่กลับมีการคุกคาม เราจะปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้หรือ ไม่ว่ารัฐบาลเผด็จการหรือรัฐบาลประชาธิปไตยล้วนแต่มีการละเมิดสิทธิ แต่กลไกรัฐบาลประชาธิปไตยการตรวจสอบจะเข้มแข็งกว่า ใครจะด่ารัฐบาลหรือด่านายกฯ ทางนายกฯ ต้องรับฟังไม่ใช่ออกมาโต้ตอบ ในขณะนี้มีกระบวนการลดทอนความน่าเชื่อถือคนที่ท้าทายอำนาจรัฐ ทำให้ถูกมองว่าเป็นคนไม่ดี เป็นทนายโจร เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ล้มล้างสถาบัน
"หากคนเหล่านี้ถูกทำให้สูญหายก็จะไม่มีใครออกมาปกป้อง เพราะสังคมเชื่อว่าเป็นคนไม่ดี ไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่าใครบ้างคือนักปกป้องสิทธิฯ เพราะกระทรวงยุติธรรมยังเถียงไม่จบว่าคนนี้สีดำ คนนี้สีเทา และคนนี้สีขาว รัฐบาลกลับไม่รู้ สิ่งที่รัฐบาลพยายามแก้ไขคือทำตัวเลขผู้สูญหายน้อยลง แต่ไม่ทำให้ความจริงเปิดเผยและนำคนผิดมาลงโทษ จำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญ แต่การเมืองเป็นแบบนี้ เราต้องทำหน้าที่ของเรา เพราะเราคือพยานการละเมิดสิทธิฯ ที่เกิดขึ้น เพื่อมอบสังคมให้คนรุ่นใหม่ที่พูดได้โดยไม่กลัว และรัฐต้องดูแลทุกคนให้มีความปลอดภัยเท่ากัน" อดีตกรรมการสิทธิฯ กล่าว
ขณะที่ น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ แกนนำกลุ่มเยาวชนปลดแอก กล่าวว่า ที่ผ่านมาสังคมไทยมีปัญหาเรื่องความเท่าเทียมกัน กลุ่มคนรุ่นใหม่จึงออกมาเรียกร้องว่าคนต้องเท่าเทียมกันผ่านการเคลื่อนไหวต่างๆ โดยการเรียกร้องปฏิรูปสถาบัน หรือการจัดงบประมาณเกี่ยวกับสถาบันที่เกิดความจำเป็น ซึ่งแตกต่างจากคนทั่วไปที่ไม่ได้รับสิทธิต่างๆ แถมบางคนยังถูกทำร้าย และสูญหาย ทั้งนี้ พวกเราต้องการเรียกร้องการพูดคุยและประชาธิปไตย เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันได้ แตกต่างจากผู้มีอำนาจที่ออกมาพูดว่าอยากให้มีการประนีประนอม แต่ความอยุติธรรมและสิทธิทนุษยชนประนีประนอมไม่ได้ ดังนั้นข้อเรียกร้องของเยาวชนคนรุ่นใหม่จึงถูกต้อง
“ไม่ว่าเราจะทำอะไร ทุกอย่างคือการเมือง ประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เด็กเรียกร้องเคลื่อนไหวเพื่อให้การเมืองดีขึ้น เพื่อสร้างรัฐสวัสดิการ สิทธิการเข้าถึง การขนส่ง การเดินทางสาธารณะ แต่รัฐกลับปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน โดยเฉพาะนำรถเมล์มาสกัดกั้นทดแทนกำลังเจ้าหน้าที่รัฐ มีเจ้าหน้าที่มาเช็กประวัติข้อมูลนักศึกษา เราต้องการสร้างสังคมที่พูดคุยกันได้ และพื้นที่ปลอดภัย เราต้องเติบโตไปในอนาคต ตอนนี้สังคมยังบิดเบี้ยวไม่หยุด ข้อเรียกร้องเราต้องเกิดผลไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สายธารการเปลี่ยนแปลงกำลังไหลเข้ามาที่ผู้มีอำนาจเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในอนาคตเราอยากเห็นประเทศไปได้ไกลกว่านี้ ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายและรัฐธรรมนูญ” น.ส.จุฑาทิพย์ระบุ
ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวตอนหนึ่งว่า เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์ และคุณูปการของบุคคลเหล่านี้ไม่ได้รับการพูดถึงหรือถูกยกย่อง เป็นเพราะเราเพิกเฉยกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น เรื่องแบบนี้จึงเกิดขึ้นซ้ำๆ หลายกรณีที่ผู้กระทำผิดไม่เคยถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เป็นด้านกลับของสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งบอกได้ว่าประชาชนไม่ได้มีความหมายไร้ค่าในสายตาชนชั้นนำ ประชาชนจึงไม่ได้รับการปกป้อง
นายธนาธรกล่าวว่า เสนอสิ่งที่ต้องทำ 3 ประเด็น คือ 1.ต่อสู้เชิงประเด็นให้เป็นวาระเชิงสังคมมากขึ้น 2.ต่อสู้เชิงระบบ ซึ่งการต่อสู้เพื่อให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ เจ้าของทรัพยากรอย่างแท้จริง เป็นเรื่องจำเป็น โดยที่ทุกส่วนต้องเกี่ยวโยงกัน เช่น การมีรัฐธรรมนูญใหม่ 3.ต่อสู้เชิงวัฒนธรรม ที่ต้องปลูกฝังค่านิยมพลเมืองร่วมกัน ว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องสกปรก แต่เป็นเรื่องของเราทุกคน การสร้างวาทกรรมการเมืองเป็นเรื่องสกปรก เพื่อให้คนไม่สนใจการเมือง เมื่อคนไม่สนใจการเมือง อำนาจก็เป็นของผู้มีอำนาจ ซึ่งคอยสร้างคำพูดว่าให้มีชีวิตอย่างพอเพียง เพื่อที่ตัวเองจะรักษาโครงสร้างอำนาจ ซึ่งการต่อสู้เชิงวัฒนธรรมทำได้ทุกที่ อย่าให้วัฒนธรรมอนุรักษนิยม อำนาจนิยม คืบเข้ามาอีก.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |