‘ประยุทธ์’ไม่ลาออก ซัดอานนท์เพ้อเจ้อหวังเรียกผู้ชุมนุมยํ้าใช้มาตรา112ฟันม็อบ


เพิ่มเพื่อน    

 "บิ๊กตู่" ตอกกลับ "อานนท์" ปูดข่าวลาออกหวังระดมมวลชน 25 พ.ย.นี้ให้มากขึ้น ซัดพูดไม่มีข้อมูลจะเชื่อถือต่อไปอีกหรือ แจงการบังคับใช้กฎหมายทุกฉบับทุกมาตราเพราะประชาชนรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น แบะท่าใช้ ม.112 ด้วย พปชร.หนุนแถลงการณ์นายกฯ ย้อนเกล็ด "โรม" เท่ากับยอมรับม็อบทำผิด ม.112  โฆษก พท.ซัด "ประยุทธ์" ผลักคนเห็นต่างเป็นศัตรู "หมอวรงค์" แฉม็อบ 3 นิ้วถือฤกษ์ 25 พ.ย.บุกสำนักทรัพย์สินฯ ที่แท้วันเกิด "ธนาธร" ตำรวจระบุตัวบุคคลทำผิดหลายข้อหาหน้าสภา-สตช.ได้แล้วกว่า 30 คน นัดถกขอบเขตการใช้ ม.112 เสาร์นี้

    เมื่อวันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน นายอานนท์ นำภา หนึ่งในแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมราษฎร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "อานนท์ นำภา" ระบุข้อความสั้นๆ ว่า "ประยุทธ์อาจลาออกก่อนวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้" ทำให้มีผู้มากดไลค์ แสดงความเห็น และส่งต่อข้อความดังกล่าวออกไปจำนวนมาก
     หลังจากนั้น นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า ภารกิจทุกอย่างของ พล.อ.ประยุทธ์ยังคงดำเนินการตามปกติ และนายกฯ ยังมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างเข้มแข็ง ขณะเดียวกันในช่วงเย็นของวันเดียวกันนี้ นายกฯ จะเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก  ครั้งที่ 27 รวมถึงภารกิจอื่นๆ ก็ยังคงดำเนินไปตามปกติ ยืนยันว่านายกฯ ไม่มีการพูดคุยถึงประเด็นอื่นๆ แต่อย่างใด ขอให้ดูด้วยว่าข้อมูลต่างๆ ที่เผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียมีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร อย่าเพิ่งตื่นตระหนก และขอให้มีการตรวจสอบข้อมูลด้วย และที่สำคัญต้องดูคนโพสต์ด้วยว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน
    ขณะที่ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ระบุข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ได้เข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีอาญากับนายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มม็อบคณะราษฎรข้อหา พ.ร.บ.คอมพ์ที่ สน.ทองหล่อ พร้อมข้อความอธิบาย ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงจุดยืนอย่าง ชัดเจนมาตลอดว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังนั้นการโพสต์ข้อความว่า พล.อ. ประยุทธ์อาจลาออก และมีการกำหนดช่วงเวลาที่อาจจะลาออกอย่างชัดเจนคือก่อนวันที่ 25 พฤศจิกายน เป็นการจงใจปลุกปั่น สร้างกระแส ทำให้สังคมเกิดความสับสน เข้าใจผิดจากข้อความดังกล่าว เป็นอาญาแผ่นดิน
    ต่อมา เวลา 18.40 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ว่า "ที่มีข่าวว่าผมจะลาออกก่อนวันที่ 25 พ.ย. ก็ลองไปถามคนพูดดูว่าเอาข้อมูลจากไหน ผมไม่เคยติดต่อกับเขา และทราบว่าจะมีการชุมนุม 25 พ.ย.นี้ ดังนั้นคิดว่าคงพูดเพื่อหวังระดมมวลชนและประชาชนให้มากขึ้นหรือไม่ และคิดว่าคนที่พูดเรื่องแบบนี้พูดไม่ตรง พูดโดยไม่มีข้อมูลแบบนี้ เราจะเชื่อถือได้อีกต่อไปหรือไม่ ผมคงตอบได้เท่านี้"
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ส่วนแถลงการณ์เมื่อวานนี้ (19 พ.ย.) ที่ระบุว่าจะใช้กฎหมายเข้มข้นขึ้น เป็นแถลงการณ์เตือนประชาชนให้รับทราบว่ารัฐบาลจำเป็นใช้กฎหมายทุกฉบับ ซึ่งที่ผ่านอาจมีการอะลุ่มอล่วยกันบ้าง แต่ขณะนี้เกินเลยไปมากแล้ว จึงคิดว่าสิ่งที่ตนรับมาจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เขายอมรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้ ดังนั้นเราต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่และเป็นเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานตามหน้าที่อยู่แล้ว ดังนั้นใครที่ไม่ทำความผิดก็ไม่น่าจะเดือดร้อน แต่คนที่ดูอยู่เขาก็จะไปร้องทุกข์กล่าวโทษ ซึ่งก็มีการร้องทุกข์กล่าวโทษในกฎหมายฉบับนี้มาจำนวนมาก จึงต้องฟังเขาด้วย ไม่ใช่ฟังข้างใดข้างหนึ่ง ดังนั้นทุกคนต้องกลับมาในเส้นทางปกติดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม วันนี้การบริหารราชการแผ่นดินก็กำลังเดินหน้าเรื่องเศรษฐกิจระดับฐานรากที่ประชาชนจะได้รับประโยชน์
เล็งใช้มาตรา 112 ด้วย
    เมื่อถามว่าจะมีการใช้มาตรา 112 ด้วยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้อนถามว่า "ทำไม ก็เป็นกฎหมายทุกฉบับ สื่อเข้าใจคำว่ากฎหมายทุกฉบับหรือไม่ เข้าใจภาษาไทยหรือไม่ แปลภาษาไทยกันสิ คำว่ากฎหมายทุกฉบับ" เมื่อถามย้ำว่ารวมถึงมาตรา 112 ด้วยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้ำซ้ำๆ ว่า ทุกฉบับ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องดำเนินการ เพราะเป็นความคิดเห็นจากประชาชนจำนวนมาก ประชาชนทั้งประเทศที่รับไม่ได้ ทำไมสื่อไม่ไปขยายความกับคนที่ทำความดีบ้าง
    "มีคนไปสาดสีโน่นนี่ แต่วันนี้มีเด็กนักเรียน มีประชาชนต้องมาคอยลบและล้างสี ทำไมไม่พูดถึงคนเหล่านี้บ้าง แต่ไปให้ความสำคัญกับคนที่สร้างความสงบเรียบร้อย ทำความผิด ละเมิดสถาบัน ผมว่าไม่ถูก สื่อให้ความสำคัญอย่างนี้ไม่ถูก คนดีๆ เขาทำตั้งเยอะแยะ มันควรจะต้องให้เขามาทำไหม ทำลายสิ่งของทางราชการ ละเมิดสถาบันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผมคนหนึ่งที่ยอมรับไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งกับแถลงการณ์นายกฯ เพราะที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์พยายามประคับประคองประนีประนอมเพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปให้ได้ ไม่อยากให้เกิดความรุนแรง เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ดูแลม็อบด้วยความอดทนอดกลั้น วันนี้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศเริ่มออกมากดดันรัฐบาลว่าทำไมไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะเขาทนกันไม่ไหวที่เห็นคณะราษฎรทำผิดกฎหมาย และจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์รุนแรง หากไม่บังคับใช้กฎหมายเด็ดขาด จะทำให้ปัญหาบานปลายแน่นอน อยากจะขอร้องน้องๆ ให้ทบทวนแนวทางการเคลื่อนไหวว่ามันถูกต้องหรือไม่ เพราะการชุมนุมไม่ได้สันติแล้ว และฝากไปยังเครือข่ายอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล วันนี้ยังหน้ามืดใจมัว สนับสนุนม็อบจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อีกหรือ
    น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายรังสิมันต์ โรม รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นต่อแถลงการณ์นายกฯ ว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาด ที่จะบังคับใช้กฎหมายทุกมาตรา ซึ่งรวมถึงมาตรา 112 ด้วย ถือได้ว่านายรังสิมันต์ได้แสดงความคิดเห็นแบบอวดฉลาด จนพลาดท่ายอมรับไปในตัวเองแล้วว่าการชุมนุมต่างๆ ที่ผ่านมามีการฝ่าฝืนกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะในแถลงการณ์นายกฯ ไม่ได้มีการเอ่ยถึงกฎหมายมาตราใดมาตราหนึ่งเป็นการเฉพาะเจาะจง การที่นายรังสิมันต์รีบออกมาวิจารณ์การบังคับใช้มาตรา 112 นั้น จึงเสมือนร้อนตัวจนยอมรับว่าม็อบมีการกระทำฝ่าฝืนมาตรา 112 จริง ซึ่งเป็นการตอกย้ำ สอดคล้องกับภาพที่ประชาชนคนไทยมองเห็น
    น.ส.ทิพานันกล่าวว่า การชุมนุมที่ผ่านมาของคณะราษฎรเป็นการชุมนุมที่ฝ่าฝืนกฎหมายหลายฉบับ หลายมาตรา ที่ผ่านมาหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค และ ส.ส.พรรคก้าวไกลมักเข้าร่วมการชุมนุมแทบทุกครั้ง อาจเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 45 พ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ศ.2560 ที่บัญญัติห้ามผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองกระทำการหรือส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึ่งมีโทษยุบพรรคการเมืองตามมาตรา 92 (3)  หากมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนจนมีการดำเนินคดีอาญามาตรา 112 กับแกนนำผู้ชุมนุม ก็อาจทำให้พรรคการเมืองเข้าข่ายถูกยุบพรรคตามมาตรา 92 (2) พ.ร.ป.พรรคการเมือง ที่บัญญัติว่าพรรคการเมืองมีการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้
นายกฯ ผลักคนเห็นต่างเป็นศัตรู
    นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หลักการที่สำคัญคือประเทศไทยปกครองด้วยระบบนิติรัฐ คือรัฐที่ปกครองด้วยกฎหมาย ฉะนั้นประชาชนไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดก็ต้องอยู่ภายใต้การบังคับของกฎหมายอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน เมื่อมีการฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายฉบับใด มาตราใด หากมีข้อเท็จจริงใดที่เป็นความผิดก็จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ฝ่ายการเมืองจึงไม่ควรหวั่นไหวกับคำแถลงการณ์ของนายกฯ ไม่ควรโจมตีรัฐบาลจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด จึงสนับสนุนให้บังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัดและตรงไปตรงมาภายใต้หลักนิติธรรม
    พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวถึงแถลงการณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าตนเห็นด้วย และมีหลายฝ่ายที่เห็นด้วย เพราะหากปล่อยให้ผู้ชุมนุมที่ทำผิดกฎหมาย ทำลายทรัพย์สินราชการ ใช้ถ้อยคำก้าวล่วงสถาบันโดยไม่ดำเนินการใดๆ บ้านเมืองจะวุ่นวายมากขึ้น และอาจเกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างม็อบคณะราษฎรและผู้ที่รับไม่ได้กับสิ่งที่ม็อบคณะราษฎรทำ ส่วนตัวเห็นว่ากลุ่มผู้ชุมนุมควรลดราวาศอกลงหลังจากที่รัฐสภาลงมติรับหลักการการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และจากนี้อีก 1 ปี จะได้มีรัฐธรรมนูญใหม่ใช้บังคับ แต่หากทำให้สถานการณ์รุนแรง เชื่อว่าประเทศไทยอาจเกิดทางตันและมีการรัฐประหารขึ้นได้
         ทางด้าน น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ออกแถลงการณ์เตรียมยกระดับการใช้กฎหมายเข้มข้นกับผู้ชุมนุมว่า เป็นการผลักดันให้สถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงมากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ และเป็นการแสดงออกของรัฐบาลอย่างเปิดเผยว่ากลุ่มผู้ชุมนุมและผู้ที่เห็นต่างคือศัตรูของรัฐบาล ไม่ใช่ประชาชนคนไทย ไม่ให้ความสำคัญหรือสนใจในข้อเรียกร้องของประชาชน หาก พล.อ.ประยุทธ์เตรียมนำกฎหมาย อาญาที่มีความรุนแรงเอาผิดม็อบราษฎรตามที่คนบางกลุ่มเรียกร้อง เท่ากับ พล.อ.ประยุทธ์กำลังสร้างเงื่อนไขการกระทำของตัวเอง เล็งเห็นผลที่จะเกิดขึ้นหลังการบังคับใช้กฎหมายด้วยการผลักไสประชาชนให้เข้าใกล้หุบเหวแห่งความสิ้นหวังมากขึ้น การไม่ระบุกฎหมายมาตราไหน ซึ่งถือว่าอันตรายอย่างมากในสถานการณ์เปราะบางเช่นนี้ คนชื่อประยุทธ์กำลังปิดตายทุกทางออก และกำลังสร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรงมากขึ้น
    พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตรองหัวหน้าพรรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “รัฐมีอำนาจมากกว่าประชาชน อย่าใช้ความรุนแรงนำการแก้ปัญหาข้อเรียกร้องต่างๆ มีทั้งทำได้และทำไม่ได้ ตรงไหนทำได้ก็แก้ไขแล้วแจ้งให้ประชาชนทราบ ตรงไหนทำไม่ได้เพราะผิดหลักการอะไรก็แจ้งไปชัดๆ ตรงไหนพอเทียบเคียงประเทศอื่นๆ ได้ก็เสนอให้ประชาชน ทราบ จะได้เข้าใจตรงกัน ถ้าใช้แต่กฎหมายไล่จับคน ไม่รับฟังปัญหา ก็มีแต่ขยายความรุนแรงมากยิ่งขึ้นครับ”    
      ที่บริเวณด้านหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้มีประชาชนจากหลากหลายกลุ่ม หลายเครือข่ายที่ระดมกำลังกันมาช่วยทำความสะอาดสีที่เลอะอยู่ตามพื้นและจุดต่างๆ บริเวณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถนนพระราม 1 หลังจากถูกกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มคณะราษฎรสาดสีใส่เมื่อคืนวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งแต่ละกลุ่มทยอยเดินทางกันมาตั้งแต่เวลา 09.30 น. ต่างนำอุปกรณ์  แปรงขัด ไม้กวาดทางมะพร้าว ฟองน้ำ ทินเนอร์ และน้ำมันสน รวมถึงเกรียงที่มักใช้ในงานช่าง มาช่วยแซะลอกสีที่ติดฝังแน่นอยู่บนผนังกำแพงด้านหน้า ตร.ออกไปก่อนหนึ่งชั้น เพื่อที่เวลานำทินเนอร์และอุปกรณ์มาขัดจะทำให้สีลอกออกได้ง่ายขึ้น
     เช่นเดียวกับตามรั้ว พื้นผิวด้านใน และฐานป้ายของ ตร. ซึ่งมีสีติดเลอะและฝังแน่น กลุ่มกลุ่มนักเรียนดี-กลุ่มยุวชน กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน รวมถึงกลุ่มไทยภักดี และภาคประชาชน ได้นำอุปกรณ์ช่วยกันขัดสี ก่อนจะทาสีขาวทับไว้เป็นรองพื้น จากนั้นจึงจะประเมินกันอีกครั้งร่วมกับ ตร.และสำนักงานเขตปทุมวัน ว่าจะใช้สีอะไรทาซ้ำให้เหมาะสมใกล้เคียงกับสีเดิมมากที่สุด ขณะที่ต้นไม้บางส่วนซึ่งปลูกไว้ด้านหน้า ตร. ทางกลุ่มเลือกที่จะถอนออก เพราะยืนต้นตายจากสีที่กระเด็นใส่
ตร.ระบุตัวคนทำผิด 30 คน
    พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) และโฆษก บช.น. กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมคณะราษฎรที่หน้ารัฐสภา ถนนเกียกกาย และที่หน้า ตร. ซึ่งเกิดความเสียหายและความรุนแรงขึ้นทั้ง 2 จุด ว่า ขณะนี้ทั้ง 2 คดีอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนเพื่อพิสูจน์ทราบระบุตัวบุคคลที่กระทำความผิดทั้ง 2 จุด เบื้องต้นสามารถระบุตัวบุคคลได้แล้วรวมมากกว่า 30 คน แบ่งเป็นในพื้นที่ สน.บางโพ จากการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาสามารถพิสูจน์ทราบบุคคลได้แล้ว 14 คน ในพื้นที่ สน.ปทุมวัน จากการชุมนุมกันที่หน้า ตร. สามารถระบุตัวและพิสูจน์ทราบบุคคลได้แล้ว 17 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ที่กระทำความผิดจากการก่อความรุนแรง ทำลายทรัพย์สินของทางราชการ และชุมนุมโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเข้าข่ายความผิดในหลายข้อหา คาดว่าในสัปดาห์หน้าพนักงานสอบสวนจะเริ่มดำเนินการออกหมายเรียกผู้ต้องหาทั้งหมดมารับทราบข้อกล่าวหาตามขั้นตอนได้
      ส่วนประเด็นเรื่องการปะทะกันที่บริเวณหน้ารัฐสภา โฆษก บช.น.กล่าวว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้เรียกตัวผู้ได้รับบาดเจ็บมาให้ปากคำได้แล้วรวม 3 คน โดยเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนที่แยกบางโพ 1 คน และแยกเกียกกาย 2 คน ซึ่งมีทั้งผู้ชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎรและผู้ชุมนุมกลุ่มปกป้องสถาบัน
        พล.ต.ต.ปิยะกล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มนักเรียนเลวในวันที่ 21 พ.ย.ว่า ล่าสุดจากการตรวจสอบยังไม่พบว่ากลุ่มดังกล่าวมีการแจ้งขอชุมนุมมาที่ตำรวจ ซึ่งหากวันนี้ก่อนบ่าย 2 ยังไม่แจ้งขอชุมนุมก็จะถือว่าเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุม ส่วนการเตรียมกำลังดูแลการชุมนุมจะมีการประชุมเพื่อจัดเตรียมกำลังและวางแนวทางการป้องกันอีกครั้งในคืนนี้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
        ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าผู้ชุมนุมกลุ่มคณะราษฎรและกลุ่มนักเรียนเลวจะถูกแจ้งข้อหาเพิ่มตามในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น โฆษก บช.น.กล่าวว่า ตำรวจยืนยันว่าขณะนี้จะยังไม่มีการแจ้งข้อหาความผิดตามมาตรา 112 เนื่องจากต้องรอการพิจารณากำหนดขอบเขตการแจ้งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีอย่างชัดเจนจาก ตร. ซึ่งในวันจันทร์ที่ 23 พ.ย.นี้ พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะมีการเรียกประชุมหน่วยที่เกี่ยวข้องเพื่อขอบเขตให้ชัดเจนก่อนที่จะดำเนินการบังคับใช้
     ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก "นักเรียนเลว" โพสต์ข้อความระบุว่า น.ส.เบญจมาภรณ์ นิวาส หรือพลอย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และนายลภนพัฒน์ หวังไพสิฐ หรือมิน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ถูกออกหมายเรียกฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 คาดว่าเป็นเหตุจากการขึ้นปราศรัยในชุมนุมวันที่ 15 ต.ค.ไปแยกราชประสงค์ โดยหมายเรียกดังกล่าว ลงวันที่ 17 พ.ย.2563 ระบุให้ทั้ง 2 คนจะต้องไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี วันที่ 30 พ.ย.2563 เวลา 13.00 น.
         อย่างไรก็ตาม มีการระบุข้อความว่า ตอนนี้สภาพจิตใจของพลอยยังดีอยู่ และฝากบอกมายังทุกคนว่า "ขอให้ออกมาร่วมชุมนุมวันพรุ่งนี้ให้เยอะๆ ตอนนี้เขาเริ่มคุกคามเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีแล้ว อย่าปล่อยให้อุดมการณ์ของพวกเราต้องโดดเดี่ยว ออกมาพร้อมกันให้แน่นราชประสงค์"
         นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายรายชื่อพรรคไทยศรีวิไลย์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า เมื่อรัฐบังคับใช้กฎหมายทุกฉบับ ทุกมาตราแล้ว นักเรียน นักศึกษา ประชาชน ไม่สนใจ ไม่กลัว ไม่อยู่ในบังคับของรัฐ และถ้าลามไปยังข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร ตร.ไม่ฟังรัฐเหมือนกัน เมื่อนั้นเรียกว่ารัฐล้มเหลว (failed state) "คงได้เจอเร็วๆ นี้" และโพสต์ว่า เตรียมส่งทนายไปช่วยครับ พลอย เบญจมาภรณ์ นักเรียนชั้น ม.4 และมิน ลภนพัฒน์ นักเรียนชั้น ม.6 ถูกออกหมายเรียก ฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เดี๋ยววันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 เวลา 13.00 น. พี่เต้จะไปพร้อมกับทนายบุญถาวร ปัญญาสิทธิ์ ที่ สน.ลุมพินีด้วย
แฉ 25พ.ย.วันเกิด"ธนาธร"
         นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กถึง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ระบุว่า นับวันม็อบคณะราษฎรที่คุณสนับสนุน ยิ่งแสดงความหยาบ ความถ่อย สาดสี เทสี สร้างความสกปรก ยั่วยุหยาบคายต่อสถาบันเบื้องสูง ที่อยู่ในศรัทธาของประชาชน จนประชาชนเขาเอือมระอา ชนิดเอือม แล้วเอือมอีก ตอนนี้ประชาชนเขารวมตัวกัน ออกมาช่วยกัน เก็บกวาด ทำความสะอาดบ้านเมืองหลังจากม็อบที่คุณสนับสนุนได้กระทำไว้ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น มันเป็นการสะท้อนว่าสู้อีกร้อยปีคุณก็ไม่มีทางชนะ
         "การที่ม็อบคณะราษฎร นัดหมายวันที่ 25 พ.ย. ที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พวกเรารู้นะว่าพวกคุณคิดอะไร อย่าหวังเลยว่าจะเอาฤกษ์เอาชัยวันเกิดไปกระทำในสถานที่เชิงสัญลักษณ์ และไปในสถานที่นี้ และมีแนวโน้มเพื่อสร้างสถานการณ์ความรุนแรงขึ้นมา และมากล่าวหาว่าเบื้องสูงเป็นผู้กระทำ บอกเลยว่าใครๆ เขารู้ทันกันหมด อยากจะเตือนคุณนะ การที่เตี่ยคุณหนีร้อนมาพึ่งเย็น สามารถสร้างความร่ำรวยให้ตระกูลได้หลายหมื่นล้านบาท แม้แต่คุณเองก็มีทรัพย์สินหลายพันล้านบาท คุณยังกล้าพูดเหรอว่าสังคมไทยไม่ให้โอกาส ถ้าหากมีสำนึก กิจกรรมวันที่ 25 พ.ย.ที่จะเอาฤกษ์ในวันเกิดคุณ แน่จริงคุณอย่าเอาชีวิตลูกหลานประชาชนไปเสี่ยง คุณเอาคนในครอบครัวคุณออกมาดีกว่า เพราะลูกหลานประชาชนเขาไม่รู้หรอกว่าคุณ กำลังจะเอาความสูญเสียของลูกหลานเขามาสร้างอำนาจต่อรอง" นพ.วรงค์ระบุ และว่า ขอเตือน สังคมไทยเป็นสังคมประนีประนอมให้โอกาสเสมอสำหรับคนที่ผิดแล้วสำนึกผิด แต่ถ้าไม่สำนึก สุดท้ายคุณจะไม่เหลืออะไรเลย"
    ที่ศูนย์เรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (สพก.) ต.วังใต้ อ.วังเหนือ จ.ลำปาง ซึ่งนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตหลวงปู่พุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม พร้อมคณะ ได้เดินทางมาร่วมพบปะกับมวลชนอดีตหมู่บ้านเสื้อแดง จ.ลำปาง ที่ต่างสวมเสื้อสีเหลืองมารวมตัวกันแสดงพลังความจงรักภักดีในชื่อกิจกรรม รวมกันที่ลานบ้าน ชวนกินข้าว ฟังเรื่องเล่าพระเจ้าอยู่หัว ร่วมกับหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นภาคเหนือ (ชุมชนเสื้อแดงปกป้องสถาบันฯ)  
    โดยกิจกรรมได้มีการเสวนาถึงความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์จากปราชญ์ชาวบ้าน และนายอานนท์ แสนน่าน ผู้ริเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย, นายสมชัย แสงทอง ประธานกองทัพประชาชนเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ภาคเหนือ และอดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคเหนือ โดยในพื้นที่มี น.ส.นิลุบล มีเมล์ ประธานหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นจังหวัดลำปาง ประธานกองทัพประชาชนเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ จ.ลำปาง เป็นแกนนำ จากนั้น น.ส.นิลุบลได้นำผู้เข้าร่วมกิจกรรมกล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ว่าจะทำหน้าที่ในการปกป้อง พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์     หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรม นายสมชัย แสงทอง ได้ยื่นหนังสือคัดค้านการแก้ไข รธน.ในหมวดพระมหากษัตริย์ และเร่งรัดดำเนินคดีต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมเร่งรัดปฏิรูปกระบวนการศึกษาของชาติให้สอดคล้องกับขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี วัฒนธรรมของคนในชาติ ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง โดยมีว่าที่พันตรีอดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ รองผู้ว่าฯ ลำปาง เป็นผู้รับมอบ
    วันเดียวกัน นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล นำเสนอผลสำรวจภาคสนามเรื่อง นายกฯ ตู่ ได้ไปต่อ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ 1,477 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 15-19 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา เมื่อถามความเห็นของประชาชนเกี่ยวกับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.7 ระบุด้านสุขภาพ ทำให้บัตรประชาชนใบเดียวใช้ได้ทุกโรงพยาบาล รองลงมาคือร้อยละ 95.5 ระบุด้านคมนาคม มีผลงานถนนเส้นทางต่างระดับเชื่อมภูมิภาค,   ร้อยละ 94.6 ระบุด้านการศึกษา มีผลงานความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยเหลือเด็กยากจนพิเศษ, ร้อยละ 94.4 ระบุด้านเศรษฐกิจ  ทำให้เกิดโครงการพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC, ร้อยละ 94.0 ระบุด้านคมนาคม มีผลงาน รถไฟฟ้า สายต่าง ๆ ของคนเมือง, ร้อยละ 93.8 ระบุผลงานระดับโลก มีผลงานรับมือวิกฤติโควิด ได้อันดับหนึ่งของโลก, ร้อยละ 92.0 ระบุมีผลงานโครงการคนละครึ่ง แก้ปัญหาปากท้องกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้ถูกจุดตรงเป้า
    ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.7 ระบุความขัดแย้งของคนในชาติ ปัญหาบ้านเมืองยังอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ ในขณะที่ร้อยละ 25.3 ระบุควบคุมไม่อยู่แล้ว  อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ  90.1 เห็นด้วยที่ควรมีนายกรัฐมนตรีคนกลาง ไม่สังกัดพรรคการเมือง เพื่อทำประโยชน์ให้คนทั้งประเทศมากกว่า เอื้อประโยชน์จัดสรรงบให้พื้นที่ฐานเสียงของตนเท่านั้น ในขณะที่ร้อยละ 9.9 ไม่เห็นด้วย
    ที่น่าสนใจคือ เมื่อถามถึงบุคคลที่ควรเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในสถานการณ์แบบนี้มากที่สุด พบว่า อันดับที่หนึ่งส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.3 ระบุเป็น พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา ทิ้งห่างอันดับสองหลายเท่า คือนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ร้อยละ 15.0  อันดับสาม สูสีขึ้นมาเทียบใกล้เคียงอันดับสองคือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 14.7 ตามด้วยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ร้อยละ 7.3 และอื่นๆ เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เป็นต้น ร้อยละ 3.7 ตามลำดับ.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"