ม็อบสามนิ้ว-กัดกินตัวเอง เคลื่อนทะลุเพดาน ทำแนวต้านขยาย รัฐงัด 112 งานนี้มีได้-เสีย


เพิ่มเพื่อน    

 

      ถึงตอนนี้ การก่อตัวเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มม็อบสามนิ้ว โดยเฉพาะในส่วนกลาง กรุงเทพมหานคร ข้อเรียกร้องต่างๆ ที่เคยประกาศไว้อย่างเรื่อง "การแก้ไขรัฐธรรมนูญ" ที่เคยเสนอให้มีการแก้ รธน.เพื่อให้มีการตั้ง "สภาร่างรัฐธรรมนูญ" แต่เมื่อที่ประชุมรัฐสภาสัปดาห์ที่ผ่านมาเห็นชอบด้วยกับการแก้ไขมาตรา 256 เพื่อให้มีการตั้งสภาร่าง รธน.ที่ก็ตรงกับข้อเรียกร้องแต่แรกของกลุ่มม็อบ ตั้งแต่ยุคยังเป็นแฟลชม็อบเมื่อต้นปี 2563 ตามสถาบันการศึกษาต่างๆ จนกระทั่งเกิดกลุ่มแกนนำเคลื่อนไหวต่างๆ เช่น กลุ่มเยาวชนปลดแอก-กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม อันเป็นข้อเรียกร้องที่หลายฝ่ายดูจะเห็นด้วย และเข้าร่วมกิจกรรมการชุมนุมของม็อบที่เกิดขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

      อย่างไรก็ตาม ก็อย่างที่เห็น มาตอนนี้เมื่อข้อเรียกร้องการแก้ไข รธน.สุดท้ายก็เกิดขึ้นแล้ว ประตูที่เคยถูกล็อกแน่นหนาตามมาตรา 256 โดนเปิดออก ฝ่ายสมาชิกวุฒิสภายอมเอาด้วยกับการแก้ไข รธน.จากเดิมที่เคยตั้งป้อมชน

      แต่ปรากฏว่า กลุ่มม็อบสามนิ้ว โดยเฉพาะแกนนำม็อบก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนไหว แม้อาจจะอ้างว่าไม่สามารถยอมรับมติที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้ เพราะร่างแก้ไข รธน.ฉบับประชาชนหรือร่างไอลอว์โดนตีตก แต่ก็ดูจะเป็นข้ออ้างที่ไม่มีน้ำหนักมากนัก เพราะยังไงร่างแก้ไข รธน.ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่ในทางการเมืองก็คือแนวร่วมเดียวกับม็อบสามนิ้ว ก็ผ่านความเห็นชอบไปพร้อมๆ กับร่างของรัฐบาล โดยที่ร่างของฝ่ายค้านก็ให้มีสมาชิกสภาร่าง รธน. 200 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนทั้งหมด ไปยกร่าง รธน.ฉบับใหม่แบบยกเครื่องใหม่หมด ที่ก็ตรงกับข้อเรียกร้องของแกนนำม็อบสามนิ้ว-ปลดแอกมาตลอดอยู่แล้ว เพราะถึงต่อให้ร่างไอลอว์ผ่านความเห็นชอบมาด้วย แต่สุดท้ายยังไงร่างไอลอว์ก็ต้องถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขในชั้นกรรมาธิการฯ และการพิจารณาของรัฐสภาในวาระสองและสามอยู่ดี ไม่มีทางอยู่แล้วที่ทุกอย่างจะออกมาตามร่างเดิมทั้งหมด ซึ่งตัวแทนกลุ่มไอลอว์ก็ยอมรับเองว่าไม่ขัดข้องหากจะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่ร่างแก้ไข รธน.ของพรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้านที่มีหลักการเดียวกัน คือให้ตั้ง ส.ส.ร.มาร่าง รธน.ฉบับใหม่ ก็ต้องถือว่าตอบโจทย์ข้อเรียกร้องของม็อบได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่กลุ่มม็อบสามนิ้วดูจะไม่ยอมง่ายๆ ยังคงหาเหตุมาอ้างในการจะเคลื่อนไหวต่อไป เห็นได้จากการนัดชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์และหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อ 18 พ.ย. และที่สี่แยกราชประสงค์อีกครั้ง ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่เคลื่อนโดย "กลุ่มนักเรียนเลว"

      ซึ่งระยะหลังจะเห็นได้ว่า การเคลื่อนไหวของม็อบสามนิ้วกลายเป็นว่าหนักไปในทางเรื่องเกี่ยวกับ "สถาบันพระมหากษัตริย์" เป็นหลักไปแล้ว และเป็นการเคลื่อนไหวที่นับวันเริ่มหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ จนบางบริบทมีการแสดงออกในช่วงการชุมนุมที่คนไทยทั่วประเทศยากจะยอมรับได้ โดยเฉพาะกับการชุมนุมที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อช่วงเย็นวันที่ 19 พ.ย. ที่มีการแสดงออก-พ่นข้อความ-ชูป้ายข้อความที่จาบจ้วงต่อ

        "สถาบันเบื้องสูง"

        อย่างรุนแรง จนทำให้หลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้นจนถึงปัจจุบัน กระแสต่อต้านต่อม็อบขยายตัวมากขึ้น และมีการเรียกร้องให้รัฐบาล-สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อหยุดยั้งและเอาผิดกับพฤติกรรมม็อบสามนิ้วที่กระทำในสิ่งที่ไม่บังควรต่อศูนย์รวมจิตใจคนไทยจำนวนมาก

      กระแสเรียกร้องดังกล่าวเกิดขึ้นรอบนี้ถือว่าดังมาก จนน่าจะทำให้รัฐบาลและพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็รับรู้กระแสความรู้สึกนี้ได้ดี

      จึงเป็นที่มาของการเคลื่อนไหวที่สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี

      โดยแถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า จากสถานการณ์การชุมนุมในห้วงที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลและทุกฝ่ายกำลังร่วมกันหาทางออกโดยสงบและสันติบนพื้นฐานของกระบวนการตามกฎหมาย และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่สถานการณ์ดังกล่าวยังไม่มีท่าทีที่จะบรรเทาลง แม้รัฐบาลแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา โดยหน่วยงานด้านความมั่นคงได้ใช้ความพยายามปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อย รวมทั้งติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ดำเนินการต่างๆ ตามหลักสากลด้วยความระมัดระวัง โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการรักษาบรรยากาศของความรัก ความสามัคคี ปรองดองของทุกคนในชาติ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมือง และประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นสำคัญ

      "แต่ปัจจุบันสถานการณ์ยังคงไม่คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีนัก และมีแนวโน้มจะพัฒนาไปสู่ความขัดแย้ง นำไปสู่ความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปอาจเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและสถาบันอันเป็นที่รักยิ่ง รวมทั้งความสงบสุข ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยทั่วไป

      รัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคงจึงจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติ โดยจะบังคับใช้กฎหมายทุกฉบับ ทุกมาตราที่มีอยู่ ดำเนินการต่อผู้ชุมนุมที่กระทำความผิด ฝ่าฝืนกฎหมาย เพิกเฉยต่อการเคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น โดยจะดำเนินคดีต่างๆ ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมของประเทศที่สอดคล้องกับหลักการสากล จึงขอแจ้งมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน” แถลงการณ์ระบุ

      และต่อมาวันที่ 20 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ ขยายความถึงแถลงการณ์ดังกล่าว โดยย้ำว่า เป็นแถลงการณ์เตือนประชาชนให้รับทราบว่ารัฐบาลจำเป็นใช้กฎหมายทุกฉบับ ซึ่งที่ผ่านมาอาจมีการอะลุ่มอล่วยกันบ้าง แต่ขณะนี้เกินเลยไปมากแล้ว จึงคิดว่าสิ่งที่ตนรับมาจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เขายอมรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้

      เมื่อสื่อตั้งคำถามว่าจะมีการใช้มาตรา 112 ด้วยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้อนถามว่า "ทำไม ก็เป็นกฎหมายทุกฉบับ สื่อเข้าใจคำว่ากฎหมายทุกฉบับหรือไม่ เข้าใจภาษาไทยหรือไม่ แปลภาษาไทยกันสิคำว่ากฎหมายทุกฉบับ" และเมื่อสื่อถามย้ำว่า รวมถึงมาตรา 112 ด้วยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า "ทุกฉบับ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องดำเนินการ เพราะเป็นความคิดเห็นจากประชาชนจำนวนมาก ประชาชนทั้งประเทศที่รับไม่ได้ มันควรจะต้องให้เขามาทำไหม ทำลายสิ่งของทางราชการ ละเมิดสถาบันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผมคนหนึ่งที่ยอมรับไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์ระบุไว้

      การแสดงท่าทีจ่อใช้ไม้แข็งดำเนินการควบคุมการชุมนุมไม่ให้เลยเถิดของฝ่ายรัฐบาล ทำให้ต้องจับตาสถานการณ์ต่อจากนี้จะเป็นไปแบบใด เพราะฝ่ายม็อบก็ยังมีท่าทีจะยังไม่หยุดการเคลื่อนไหวง่ายๆ

      อย่างสัปดาห์หน้านี้ก็จะมีการนัดเคลื่อนไหวชุมนุมการเมืองกันที่หน้าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ วันที่ 25 พ.ย. ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ที่ต้องการสื่อไปถึงสถาบันเบื้องสูง แน่นอน เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้ก็เคยทำมาแล้วหลายรอบ เช่น ตอนที่นัดชุมนุมกันที่หน้าสถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ถนนสาทร หรือตอนที่นัดชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน แล้วเคลื่อนทัพจะไปชุมนุมและยื่นจดหมายที่บริเวณสำนักพระราชวัง แต่โดนตำรวจสกัดเสียก่อน

      ดูแล้วกลุ่มแกนนำม็อบสามนิ้วคงไม่ยอมหยุดง่ายๆ ต่อให้รัฐบาลทำท่าทีขึงขัง จะใช้ไม้แข็งมาควบคุมการเคลื่อนไหว เพราะมองว่าตัวเองมีมวลชนที่หนาแน่นระดับหนึ่งแล้วในการนัดรวมพลแต่ละครั้ง แม้ต่อให้มีแรงต้านจากฝ่ายต่างๆ ก็ตาม

      อย่างท่าทีของแกนนำบางส่วนเช่น "อานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มคณะราษฎร 2563" แสดงท่าทีไว้หลังมีข่าวว่าจะมีการดำเนินการใช้มาตรา 112

      "ตลกดี ขู่กันจังเรื่องใช้ ม.112 รู้ทั้งรู้ว่าคนไม่ได้กลัว แต่ก็เอามาขู่ปลอบใจตัวเอง ปลอบใจแฟนคลับตัวเอง เหมือนเอาเรื่องผีมาขู่คนไม่กลัวผี จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ พวกคุณหยุดการเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก"

      ขณะที่ “กฤษฎางค์ นุตจรัส-ทนายความของแกนนำม็อบคณะราษฎร 2563” ระบุว่า

      "มาตรา 112 ถ้านำมาใช้ คดีก็ต้องไปสู้กันในชั้นศาลแล้วจะเกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เองมากกว่า เพราะตั้งแต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านก็ทรงมีความเห็นชัดเจนว่าไม่ควรมีการดำเนินคดีในมาตรานี้ เพราะว่าผู้เสียหายก็คือพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ตำรวจ

      ผมก็คิดว่ารัฐบาลคงไม่กล้าที่จะมาทำ ถ้าทำก็เป็นการขัดต่อพระราชประสงค์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 เอง จึงไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลและผลร้ายก็จะเกิดแก่องค์พระมหากษัตริย์มากกว่า เพราะในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านทรงเคยให้ความเห็นไว้ ซึ่งที่ผ่านมาจากการรับผิดชอบว่าความคดีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วง 4-5 ปีมานี้ ก็พบว่ายังไม่เคยมีใครโดนเอาผิดเรื่อง 112" ทนายความแกนนำม็อบสามนิ้วระบุ

      เมื่อกลุ่มแกนนำม็อบสามนิ้วยังคงมีท่าทีพร้อมจะเคลื่อนไหวต่อไป โดยแนวทางพบว่ายังคงจะมุ่งเน้นแตะไปที่สถาบันเบื้องสูง ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็จะงัดไม้แข็งมาควบคุมจัดการ โดยมีประชาชนกลุ่มต่อต้านม็อบสามนิ้วให้การสนับสนุนให้ใช้ความเด็ดขาดกับแกนนำม็อบ เมื่อเป็นดังนี้จึงย่อมทำให้สถานการณ์ต่อจากนี้ร้อนระอุแน่นอน.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"